สธ.ผุดโครงการ “สมาร์ทการ์ดแม่และเด็ก” เก็บข้อมูลตั้งแต่ท้องยันคลอด รวมถึงพัฒนาการเด็ก หวังกระตุ้นสร้างเด็กไทยสุขภาพดี ด้านมูลนิธิศูนย์นมแม่ฯเผย อัตราเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยาว 6 เดือนสูงขึ้น ช่วยประหยัดเงิน วอนผลักดัน กม.ห้ามขายนมผงเด็กอ่อน
นพ.สราวุฒิ บุญสุข หัวหน้ากลุ่มงานอนามัยแม่และเด็ก กรมอนามัย กล่าวเรื่อง “นโยบายและสิทธิประโยชน์เพื่อแม่และเด็กไทย” ระหว่างการประชุมวิชาการนมแม่แห่งชาติครั้งที่ 4 “Smart Breastfeeding Smart Citizen” จัดโดยมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทยในการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า นมแม่เป็นอาหารที่มีประโยชน์ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับทารกแรกเกิด การส่งเสริมให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะช่วยทำให้ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของครอบครัวในการซื้อนมผงด้วย ทั้งนี้ จากนโยบายของรัฐบาล โดย นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข ในการดูแลและส่งเสริมสุขภาพแม่และเด็กนั้น กำลังมีการจัดทำโครงการสมาร์ทการ์ดเพื่อแม่และเด็ก เพื่อบรรจุข้อมูลสุขภาพอย่างครอบคลุมทุกด้าน คาดว่าจะจัดทำแล้วเสร็จใน ส.ค.นี้
นพ.สราวุฒิ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันระบบข้อมูลสุขภาพแม่และเด็กเป็นแบบแยกส่วน ไม่มีความเชื่อมโยง และถูกเก็บไว้เฉพาะที่โรงพยาบาลที่แม่และเด็กเข้ารับบริการ แต่บัตรสมาร์ทการ์ดดังกล่าว จะบันทึกข้อมูลตั้งแต่การตั้งครรภ์ การฝากครรภ์ การดูแลระหว่างตั้งครรภ์ จนถึงเด็กคลอดก็จะมีข้อมูลสุขภาพทั้งแม่และเด็ก ข้อมูลการฉีดวัคซีน การรับนมแม่ โรคประจำตัว และพัฒนาการของเด็ก ซึ่งจะมีตัวชี้วัดในหลายๆ ด้าน เช่น ส่วนสูง น้ำหนัก เส้นรอบวงของหัวเด็ก เพื่อให้ข้อมูลด้านพัฒนาการของเด็กได้รับการติดตามอย่างต่อเนื่อง และนำไปสู่การกระตุ้น ส่งเสริมให้เกิดพัฒนาการที่ดี นอกจากนี้ จะมีการจัดทำคู่มือการดูแลเด็กให้มีพัฒนาการสมวัยให้กับแม่ด้วย โดยบัตรดังกล่าวจะทำให้เกิดการเข้าถึงบริการและสร้างความเท่าเทียมให้กับประชาชน
พญ.ศิริพร กัญชนะ ประธานกรรมการมูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ กล่าวว่า ปัจจุบันอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนแรกมีอัตราสูงขึ้น เป็นไปตามเป้าหมายร้อยละ 50 ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวจะช่วยประหยัดเงินได้ 2-3 พันบาทต่อเดือน ทั้งนี้การผลักดันให้เรื่องห้ามการส่งเสริมการขายนมผงเด็กอ่อนมีความสำคัญมาก จำเป็นต้องมีการผลักดันให้เกิดเป็นกฏหมายต่อไปเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิแม่และเด็ก จากที่เป็นเพียงการขอความร่วมมือเท่านั้น
นพ.สราวุฒิ บุญสุข หัวหน้ากลุ่มงานอนามัยแม่และเด็ก กรมอนามัย กล่าวเรื่อง “นโยบายและสิทธิประโยชน์เพื่อแม่และเด็กไทย” ระหว่างการประชุมวิชาการนมแม่แห่งชาติครั้งที่ 4 “Smart Breastfeeding Smart Citizen” จัดโดยมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทยในการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า นมแม่เป็นอาหารที่มีประโยชน์ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับทารกแรกเกิด การส่งเสริมให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะช่วยทำให้ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของครอบครัวในการซื้อนมผงด้วย ทั้งนี้ จากนโยบายของรัฐบาล โดย นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข ในการดูแลและส่งเสริมสุขภาพแม่และเด็กนั้น กำลังมีการจัดทำโครงการสมาร์ทการ์ดเพื่อแม่และเด็ก เพื่อบรรจุข้อมูลสุขภาพอย่างครอบคลุมทุกด้าน คาดว่าจะจัดทำแล้วเสร็จใน ส.ค.นี้
นพ.สราวุฒิ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันระบบข้อมูลสุขภาพแม่และเด็กเป็นแบบแยกส่วน ไม่มีความเชื่อมโยง และถูกเก็บไว้เฉพาะที่โรงพยาบาลที่แม่และเด็กเข้ารับบริการ แต่บัตรสมาร์ทการ์ดดังกล่าว จะบันทึกข้อมูลตั้งแต่การตั้งครรภ์ การฝากครรภ์ การดูแลระหว่างตั้งครรภ์ จนถึงเด็กคลอดก็จะมีข้อมูลสุขภาพทั้งแม่และเด็ก ข้อมูลการฉีดวัคซีน การรับนมแม่ โรคประจำตัว และพัฒนาการของเด็ก ซึ่งจะมีตัวชี้วัดในหลายๆ ด้าน เช่น ส่วนสูง น้ำหนัก เส้นรอบวงของหัวเด็ก เพื่อให้ข้อมูลด้านพัฒนาการของเด็กได้รับการติดตามอย่างต่อเนื่อง และนำไปสู่การกระตุ้น ส่งเสริมให้เกิดพัฒนาการที่ดี นอกจากนี้ จะมีการจัดทำคู่มือการดูแลเด็กให้มีพัฒนาการสมวัยให้กับแม่ด้วย โดยบัตรดังกล่าวจะทำให้เกิดการเข้าถึงบริการและสร้างความเท่าเทียมให้กับประชาชน
พญ.ศิริพร กัญชนะ ประธานกรรมการมูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ กล่าวว่า ปัจจุบันอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนแรกมีอัตราสูงขึ้น เป็นไปตามเป้าหมายร้อยละ 50 ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวจะช่วยประหยัดเงินได้ 2-3 พันบาทต่อเดือน ทั้งนี้การผลักดันให้เรื่องห้ามการส่งเสริมการขายนมผงเด็กอ่อนมีความสำคัญมาก จำเป็นต้องมีการผลักดันให้เกิดเป็นกฏหมายต่อไปเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิแม่และเด็ก จากที่เป็นเพียงการขอความร่วมมือเท่านั้น