สอศ.พร้อมเปิด ป.ตรีสายปฏิบัติการ เทอม 1 ปี 2556 นี้ ยันไม่เปิดพร้อมกันทั้ง 19 สถาบัน จะเน้นตามความพร้อมของสถาบัน และสถานประกอบการ และต้องไม่เปิดสาขาซ้ำซ้อน ชี้ ทำหลักสูตรรองรับไว้ 28 สาขาแล้ว ขณะที่ นศ.ต้องเรียนในสถาบัน 1 ปี ส่วนอีก 1 ปี ออกไปทำงานจริงโดยจะได้ค่าตอบแทนระหว่างเรียนและประกันการมีงานทำ
วันนี้ (22 ม.ค.) ที่โรงแรมเอเชีย ราชเทวี นายอกนิษฐ์ คลังแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (รองเลขาธิการ กอศ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมโครงการเตรียมความพร้อมการขอเปิดสอนระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ ในสถาบันการอาชีวศึกษา 19 แห่ง ว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดทำหลักสูตรเพื่อรองรับการเปิดสอนระดับ ป.ตรีสายเทคโนโลยีและสายปฏิบัติการไว้แล้ว 28 สาขา และจะเริ่มเปิดรับนักศึกษาได้ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 นี้ โดยสภาสถาบันการอาชีวศึกษาแต่ละแห่งจะต้องอนุมัติหลักสูตรก่อน จึงจะถือว่ามีผลอย่างเป็นทางการ และสถาบันการอาชีวศึกษาก็จะต้องนำหลักสูตรไปปรับปรุงให้มีความยืดหยุ่นต่อการจัดการเรียนการสอนร่วมกับสถานประกอบการด้วย ซึ่งผู้สมัครจะต้องเป็นนักศึกษาที่จบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ปี 2
ทั้งนี้ การเปิดสอน ป.ตรีสายเทคโนโลยี หรือสายปฏิบัติของสถาบันการอาชีวศึกษานั้น สอศ.วางแผนจะทยอยเปิด โดยระยะแรก สอศ.จะเริ่มเปิดสอนครั้งแรกในปี 2556 นั้น แต่จะไม่ให้แต่ละสถาบันเปิดสอนในสาขาที่ไม่ซ้ำกัน ขณะเดียวกัน จะต้องเลือกเปิดสอนในสาขาวิชาที่สถาบันฯมีความพร้อมสูงสุดเท่านั้น ซึ่ง สอศ.จะพิจารณาจากความพร้อมด้านวิชาการ บุคลากร และสถานประกอบการที่สถาบันฯจะดึงมาร่วมจัดการศึกษา เพราะหลักสูตรดังกล่าวเป็นหลักสูตรแบบทวิภาคีจึงต้องพิจารณาถึงความพร้อมของสถานประกอบการด้วย แต่ในส่วนของ สอศ.นั้น เตรียมความพร้อมไปได้ 90% แล้ว สำหรับระยะต่อไปนั้น จะให้สถาบันอาชีวศึกษาเปิดหลักสูตรอื่นๆ เพิ่มเติม แต่เน้นที่สถาบันฯมีความพร้อมเช่นกัน และต้องฟังเสียงของสถานประกอบการด้วยด้วยว่า สถานประกอบการต้องการให้เปิดสอนในสาขาใด
“การเรียนปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการนั้น จะมีความต่างตรงที่เราเน้นการปฏิบัติจริงในสถานประกอบการ โดยเด็กจะเรียนอยู่ในสถานศึกษา 1 ปี และอีก 1 ปี เด็กจะต้องออกไปทำงานในสถานประกอบการเพื่อให้ได้ฝึกการทำงานจริง ซึ่งตามหลักเกณฑ์กำหนดให้แล้วจะมีครูฝึก 1 คนคอยประกบนักศึกษา 3 คน ขณะเดียวกัน นักศึกษาจะได้มีรายได้ระหว่างเรียนรวมถึงการประกันการตกงานซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่ขณะนี้มีสถานประกอบการที่เป็นภาคีทั้งในประเทศและต่างประเทศ” นายอกนิษฐ์ กล่าว
วันนี้ (22 ม.ค.) ที่โรงแรมเอเชีย ราชเทวี นายอกนิษฐ์ คลังแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (รองเลขาธิการ กอศ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมโครงการเตรียมความพร้อมการขอเปิดสอนระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ ในสถาบันการอาชีวศึกษา 19 แห่ง ว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดทำหลักสูตรเพื่อรองรับการเปิดสอนระดับ ป.ตรีสายเทคโนโลยีและสายปฏิบัติการไว้แล้ว 28 สาขา และจะเริ่มเปิดรับนักศึกษาได้ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 นี้ โดยสภาสถาบันการอาชีวศึกษาแต่ละแห่งจะต้องอนุมัติหลักสูตรก่อน จึงจะถือว่ามีผลอย่างเป็นทางการ และสถาบันการอาชีวศึกษาก็จะต้องนำหลักสูตรไปปรับปรุงให้มีความยืดหยุ่นต่อการจัดการเรียนการสอนร่วมกับสถานประกอบการด้วย ซึ่งผู้สมัครจะต้องเป็นนักศึกษาที่จบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ปี 2
ทั้งนี้ การเปิดสอน ป.ตรีสายเทคโนโลยี หรือสายปฏิบัติของสถาบันการอาชีวศึกษานั้น สอศ.วางแผนจะทยอยเปิด โดยระยะแรก สอศ.จะเริ่มเปิดสอนครั้งแรกในปี 2556 นั้น แต่จะไม่ให้แต่ละสถาบันเปิดสอนในสาขาที่ไม่ซ้ำกัน ขณะเดียวกัน จะต้องเลือกเปิดสอนในสาขาวิชาที่สถาบันฯมีความพร้อมสูงสุดเท่านั้น ซึ่ง สอศ.จะพิจารณาจากความพร้อมด้านวิชาการ บุคลากร และสถานประกอบการที่สถาบันฯจะดึงมาร่วมจัดการศึกษา เพราะหลักสูตรดังกล่าวเป็นหลักสูตรแบบทวิภาคีจึงต้องพิจารณาถึงความพร้อมของสถานประกอบการด้วย แต่ในส่วนของ สอศ.นั้น เตรียมความพร้อมไปได้ 90% แล้ว สำหรับระยะต่อไปนั้น จะให้สถาบันอาชีวศึกษาเปิดหลักสูตรอื่นๆ เพิ่มเติม แต่เน้นที่สถาบันฯมีความพร้อมเช่นกัน และต้องฟังเสียงของสถานประกอบการด้วยด้วยว่า สถานประกอบการต้องการให้เปิดสอนในสาขาใด
“การเรียนปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการนั้น จะมีความต่างตรงที่เราเน้นการปฏิบัติจริงในสถานประกอบการ โดยเด็กจะเรียนอยู่ในสถานศึกษา 1 ปี และอีก 1 ปี เด็กจะต้องออกไปทำงานในสถานประกอบการเพื่อให้ได้ฝึกการทำงานจริง ซึ่งตามหลักเกณฑ์กำหนดให้แล้วจะมีครูฝึก 1 คนคอยประกบนักศึกษา 3 คน ขณะเดียวกัน นักศึกษาจะได้มีรายได้ระหว่างเรียนรวมถึงการประกันการตกงานซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่ขณะนี้มีสถานประกอบการที่เป็นภาคีทั้งในประเทศและต่างประเทศ” นายอกนิษฐ์ กล่าว
