ฟ้าผ่าเศียรยักษ์ วัดอรุณ หัก 2 ท่อน “สุกุมล” รุดตรวจสอบ สั่งกรมศิลป์ เร่งซ่อมให้แล้วเสร็จก่อน 31 ต.ค.นี้ เตรียมของบ 130 ล้าน บูรณะพระปรางค์ครั้งใหญ่ อธิบดีกรมศิลป์ ระบุ เป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่ลางร้าย
วันนี้ (19 ต.ค.) ที่วัดอรุณราชวราราม นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) พร้อมด้วย นายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการบูรณะคอม้า ประกอบพระปรางค์บริวารที่โค่นลงมา ภายในพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม โดย นางสุกุมล กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยม ว่า ตนได้รับรายงานจากทางวัดอรุณ ว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดฝนตกหนัก มีเหตุฟ้าผ่าลงมาที่ยอดพระปรางค์องค์เล็กด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เศียรยักษ์ที่ประดับอยู่ด้านบนหักหล่นลงมาเกิดความเสียหาย เบื้องต้นจึงได้สั่งการให้กรมศิลปากรเร่งบูรณะอย่างเร่งด่วน คาดว่า ภายในวันที่ 31 ต.ค.นี้จะแล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการบูรณะคอม้าพระปรางค์องค์เล็กที่เกิดหักหล่นลงมาก่อนหน้านี้นั้น ได้ดำเนินการบูรณะเสร็จแล้ว คาดว่า ในช่วงปลายเดือนตุลาคม นี้ กรมศิลปากร จะนำนั่งร้านออก เพื่อปรับภูมิทัศน์ให้สวยงามเช่นเดิม
สำหรับแผนการดำเนินการบูรณะวัดอรุณ นั้น ได้ดำเนินการจัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะดำเนินการบูรณะตั้งแต่ปี 2556-2558 โดยในปีงบประมาณ 2556 นี้ สำนักโบราณคดี ได้ทำแผนเสนอของบประมาณกลาง 39.7 ล้านบาท เพื่อนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ในการบูรณะพระปรางค์องค์เล็ก จำนวน 2 องค์ และมณฑปรายอีก 2 องค์ ซึ่งทรุดโทรมมาก ส่วนของการบูรณะพระปรางค์ประธาน หรือพระปรางค์องค์ใหญ่ และภูมิทัศน์โดยรอบ จะดำเนินการบูรณะตั้งแต่ปี 2557-2558 โดยจะใช้งบประมาณของกรมศิลปากรจำนวน 90.3 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 130 ล้านบาท
นายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า จากการตรวจสอบการดำเนินการบูรณะคอม้าที่โค่นหักลงมาก่อนหน้านี้ พบว่า ได้บูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงนั่งร้าน ซึ่งทางคณะช่างจะดำเนินการถอดออกภายในสัปดาห์หน้า เนื่องจากจะมีพิธีซ้อมใหญ่พระราชพิธีขบวนพยุหยาตราทางชลมารค
ส่วนที่มีเศียรยักษ์หักลงมาอีก คิดว่า เป็นเรื่องอุบัติเหตุ ไม่อยากให้คิดเป็นเหตุการณ์ไม่ดีหรือลางร้าย ที่สำคัญ ยังถือว่าโชคดีที่อุบัติเหตุดังกล่าวไม่เกิดขึ้นกับประชาชน หรือนักท่องเที่ยว เพราะจะเกิดความสูญเสียถึงชีวิตอย่างแน่นนอน ทั้งนี้ ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการการโยงสายล่อฟ้าให้นำลงดินให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์น่าตกใจเช่นนี้ขึ้นอีก
นายธราพงศ์ ศรีสุชาติ ผอ.สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร กล่าวว่า สาเหตุของการที่เศียรยักษ์หล่นลงมา เนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฝนตกหนัก จึงทำให้กระแสไฟวิ่งสู่สายล่อฟ้า ซึ่งพาดอยู่ตรงเศียรยักษ์ที่ปรางค์บริวาร และเกิดการระเบิดขึ้นทำให้เศียรยักษ์กระเด็นหล่นลงมา โดยการบูรณะนั้นจะต้องมีการเจาะเดือย ทั้งด้านเศียรและคอยักษ์ เข้าด้วยกัน และเสริมความมั่นคงด้วยการฉาบปูน ประสานให้ติดกลับไปเป็นเหมือนเดิม คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ต.ค.นี้
นายธราพงศ์ กล่าวว่า คติความเชื่อ ยักษ์แบกศาสนสถาน องค์เจดีย์ หรือ พระปรางค์ นั้น เป็นความเชื่อมาจากศาสนาพราหมณ์ และ พุทธ ตั้งแต่สมัยทวารวดี ที่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าได้เทศน์สั่งสอนยักษ์ ให้ลดทิฐิ จนกลายมาเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนา ดังนั้น การสร้างเจดีย์ หรือ องค์พระปรางค์นั้น จึงนำบริบทและ คติความเชื่อดังกล่าวมาสร้างศาสนสถาน ซึ่งหมายถึงผู้ แบกสรวงสวรรค์ ทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองสถูปสถาน และอาคารศักดิ์สิทธิ์ ตามคติโบราณเมื่อสองพันปีที่แล้ว เพื่อเป็นการค้ำชูพระพุทธศาสนาให้มั่งคง และเจริญรุ่งเรือง