ชง ครม.ดัน 50 ร.ร.แข่งขันสูงยกฐานะเป็นนิติบุคคลอย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการศึกษาคล่องตัวมีประสิทธิภาพ หลังพบที่ผ่านมา ร.ร.ไม่ประสบความสำเร็จ ขณะที่บอร์ด สกศ.ตั้งอนุกรรมการ ไปศึกษารูปแบบโครงการเรียนรู้ด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งยูเนสโกดำเนินการอยู่ว่าจะขยายผลไปพื้นที่ห่างไกลได้อย่างไร
นายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยถึงผลการประชุมกรรมการสภาการศึกษา เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ที่ประชุมเห็นชอบตามข้อเสนอนโยบายการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาสู่เขตพื้นที่การศึกษาและข้อเสนอการ พัฒนาสถานศึกษาเป็นนิติบุคคล เพื่อให้สถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปลี่ยนฐานะเป็นนิติบุคคล เพื่อให้สามารถทำงานอย่างอิสระคล่องตัว สามารถบริหารจัดการการศึกษาได้สะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ โดยจะเริ่มนำร่องในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ที่มีความพร้อม หรือโรงเรียนที่มีศักยภาพการแข่งขันสูงประมาณ 50 แห่งแรก เช่น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เป็นต้น ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลจากการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2552 และ2553 พบว่า สถานศึกษาต่าง ๆ ยังไม่ประสบความสำเร็จ ในการเป็นสถานศึกษานิติบุคคลเต็มรูปแบบ ส่งผลให้การจัดการศึกษาเกิดปัญหาหลายประการ คือ สถานศึกษาไม่สามารถดำเนินการด้านงบประมาณได้คล่องตัว ไม่สามารถบรรจุแต่งตั้งบุคลากรในสาขาที่สถานศึกษาต้องการได้ด้วยตนเอง ไม่สามารถบริหารจัดการใช้ที่ราชพัสดุของสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งล้วนแต่เป็นเพราะสถานศึกษายังไม่เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์นั่นเอง
เลขาธิการ สกศ.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบให้ตั้งอนุกรรมการศึกษา โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตามที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก เสนอ โดยให้ดูรายละเอียด ว่า การเรียนรู้รูปแบบดังกล่าวจะส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้อย่างไร รวมถึงสามารถขยายโอกาสทางการศึกษาไปยังพื้นที่ห่างไปได้ทั่วถึงเพิ่มขึ้นหรือไม่
นายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยถึงผลการประชุมกรรมการสภาการศึกษา เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ที่ประชุมเห็นชอบตามข้อเสนอนโยบายการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาสู่เขตพื้นที่การศึกษาและข้อเสนอการ พัฒนาสถานศึกษาเป็นนิติบุคคล เพื่อให้สถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปลี่ยนฐานะเป็นนิติบุคคล เพื่อให้สามารถทำงานอย่างอิสระคล่องตัว สามารถบริหารจัดการการศึกษาได้สะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ โดยจะเริ่มนำร่องในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ที่มีความพร้อม หรือโรงเรียนที่มีศักยภาพการแข่งขันสูงประมาณ 50 แห่งแรก เช่น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เป็นต้น ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลจากการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2552 และ2553 พบว่า สถานศึกษาต่าง ๆ ยังไม่ประสบความสำเร็จ ในการเป็นสถานศึกษานิติบุคคลเต็มรูปแบบ ส่งผลให้การจัดการศึกษาเกิดปัญหาหลายประการ คือ สถานศึกษาไม่สามารถดำเนินการด้านงบประมาณได้คล่องตัว ไม่สามารถบรรจุแต่งตั้งบุคลากรในสาขาที่สถานศึกษาต้องการได้ด้วยตนเอง ไม่สามารถบริหารจัดการใช้ที่ราชพัสดุของสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งล้วนแต่เป็นเพราะสถานศึกษายังไม่เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์นั่นเอง
เลขาธิการ สกศ.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบให้ตั้งอนุกรรมการศึกษา โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตามที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก เสนอ โดยให้ดูรายละเอียด ว่า การเรียนรู้รูปแบบดังกล่าวจะส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้อย่างไร รวมถึงสามารถขยายโอกาสทางการศึกษาไปยังพื้นที่ห่างไปได้ทั่วถึงเพิ่มขึ้นหรือไม่
