รมช.สาธารณสุข เผย โรงพยาบาลในสังกัดให้การดูแลผู้ป่วยจิตเวชได้ทุกแห่ง และขยายบริการถึง รพ.สต.ให้ อสม.ติดตามผู้ป่วยในชุมชนป้องกันปัญหาขาดยา พร้อมร่วมมือกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ติดตามกลุ่มคนเร่ร่อน หากพบมีปัญหาทางจิตส่งบำบัดในโรงพยาบาล
วันนี้ (21 ส.ค.) นายแพทย์ สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสวนปรุง จ.เชียงใหม่ พร้อมด้วยนายแพทย์ เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เพื่อติดตามความคืบหน้าการรักษาหญิงชาวเขาเผ่ามูเซอ ที่มีอาการทางจิตก่อเหตุฆ่าลูกสาว 2 คนที่บ้านใน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2555ว่า ขณะนี้ ผู้ป่วยดังกล่าวอยู่ในความดูแลของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะดูแลรักษาให้ดีที่สุด โดยบันทึกผลการรักษาผู้ป่วยเพื่อให้การต่อศาล เป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้ให้การรักษา
อย่างไรก็ตาม จะเร่งหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต ได้ให้กรมสุขภาพจิต ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ จัดบริการด้านสุขภาพจิตในโรงพยาบาลทุกระดับ ตั้งแต่ระดับโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชนในทุกอำเภอของประเทศ โดยฝึกอบรมแพทย์ และจัดให้มีคลินิกจิตเวชในโรงพยาบาลชุมชนกว่า 800 แห่ง และขยายเครือข่ายดูแลด้านสุขภาพจิตลงถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต.ที่มี 9,750 แห่ง โดยจัดอบรมพยาบาลให้มีความรู้ด้านจิตเวช ทำงานร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขในพื้นที่ ติดตามดูแลรักษาผู้ป่วยจิตเวชทุกคนที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ป่วยทุกรายจะมีประวัติการรักษา ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกับญาติใกล้ชิด ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาการขาดยา เช่นกรณีที่เกิดขึ้นนี้เชื่อว่าสาเหตุหนึ่งเกิดมาจากการขาดยาเป็นเวลานาน จนทำให้อาการกำเริบ
นายแพทย์ สุรวิทย์ กล่าวต่อว่า ในกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชที่มีอาการกำเริบอยู่ตามถนนหนทาง ป้ายรถเมล์ สถานที่สาธารณะต่างๆในชุมชน กระทรวงสาธารณสุขจะร่วมกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หามาตรการติดตามดูแลกลุ่มคนเร่ร่อนเหล่านี้ หากพบมีปัญหาทางจิตจะส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อสังคมต่อไป ทั้งนี้ คาดว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยจิตเวชประมาณ 600,000 ราย ในจำนวนนี้ 1 ใน 3 เป็นคนเร่ร่อน ทำให้ไม่ได้รับการดูแลรักษา ผู้ป่วยส่วนที่เหลือประมาณครึ่งหนึ่งได้รับการรักษาในโรงพยาบาล อีกครึ่งหนึ่งรักษาหายแล้วหรือได้รับยาไปรักษาต่อที่บ้าน สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติในสังคมประการสำคัญ ในการดูแลฟื้นฟูสภาพจิตของผู้ป่วยจำเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือจากคนในครอบครัวให้การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการขาดยา
วันนี้ (21 ส.ค.) นายแพทย์ สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสวนปรุง จ.เชียงใหม่ พร้อมด้วยนายแพทย์ เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เพื่อติดตามความคืบหน้าการรักษาหญิงชาวเขาเผ่ามูเซอ ที่มีอาการทางจิตก่อเหตุฆ่าลูกสาว 2 คนที่บ้านใน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2555ว่า ขณะนี้ ผู้ป่วยดังกล่าวอยู่ในความดูแลของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะดูแลรักษาให้ดีที่สุด โดยบันทึกผลการรักษาผู้ป่วยเพื่อให้การต่อศาล เป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้ให้การรักษา
อย่างไรก็ตาม จะเร่งหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต ได้ให้กรมสุขภาพจิต ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ จัดบริการด้านสุขภาพจิตในโรงพยาบาลทุกระดับ ตั้งแต่ระดับโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชนในทุกอำเภอของประเทศ โดยฝึกอบรมแพทย์ และจัดให้มีคลินิกจิตเวชในโรงพยาบาลชุมชนกว่า 800 แห่ง และขยายเครือข่ายดูแลด้านสุขภาพจิตลงถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต.ที่มี 9,750 แห่ง โดยจัดอบรมพยาบาลให้มีความรู้ด้านจิตเวช ทำงานร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขในพื้นที่ ติดตามดูแลรักษาผู้ป่วยจิตเวชทุกคนที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ป่วยทุกรายจะมีประวัติการรักษา ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกับญาติใกล้ชิด ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาการขาดยา เช่นกรณีที่เกิดขึ้นนี้เชื่อว่าสาเหตุหนึ่งเกิดมาจากการขาดยาเป็นเวลานาน จนทำให้อาการกำเริบ
นายแพทย์ สุรวิทย์ กล่าวต่อว่า ในกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชที่มีอาการกำเริบอยู่ตามถนนหนทาง ป้ายรถเมล์ สถานที่สาธารณะต่างๆในชุมชน กระทรวงสาธารณสุขจะร่วมกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หามาตรการติดตามดูแลกลุ่มคนเร่ร่อนเหล่านี้ หากพบมีปัญหาทางจิตจะส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อสังคมต่อไป ทั้งนี้ คาดว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยจิตเวชประมาณ 600,000 ราย ในจำนวนนี้ 1 ใน 3 เป็นคนเร่ร่อน ทำให้ไม่ได้รับการดูแลรักษา ผู้ป่วยส่วนที่เหลือประมาณครึ่งหนึ่งได้รับการรักษาในโรงพยาบาล อีกครึ่งหนึ่งรักษาหายแล้วหรือได้รับยาไปรักษาต่อที่บ้าน สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติในสังคมประการสำคัญ ในการดูแลฟื้นฟูสภาพจิตของผู้ป่วยจำเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือจากคนในครอบครัวให้การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการขาดยา