ผู้ป่วยบัตรทอง วอน “ยิ่งลักษณ์” ลดเหลื่อมล้ำมะเร็ง หลังป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองกว่า 3 ปี แต่ไม่มีเงินซื้อยา สิทธิบัตรทองไม่ครอบคลุม มีแต่ ขรก.ที่เบิกได้ ยาแพงเข็มละ 8 หมื่นบาท จะรักษาหายขาดต้องใช้ 6 เข็ม เกือบ 5 แสนบาท ตอนนี้ รพ.จุฬาฯ รักษาประคองอาการ วอนรัฐบาลช่วยเหลือ
นางระเบียบ ฤทธิ์คำหาร อายุ 44 ปี ชาว อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง กล่าวว่า ตนเองป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมานานกว่า 3 ปี แต่ไม่มีเงินซื้อยา เพราะมีราคาแพง ป่วยตั้งแต่ปี 2552 โดยถือสิทธิบัตรทองอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นเข้ามาทำงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ โดยระยะแรกไม่ทราบว่าป่วยเป็นอะไร จนมีอาการปวดทนไม่ไหว จึงได้ไปที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ แพทย์เอกซเรย์และวินิจฉัย ว่า ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ต้องใช้ค่ารักษามาก จากนั้นได้ย้ายสิทธิบัตรทองส่งต่อมารักษาที่ รพ.จุฬาฯ ทำให้ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการรักษา ที่ผ่านมา ได้รับการรักษาด้วยวิธีฉายแสง ทำเคมีบำบัดไปแล้ว 11 ครั้ง หลังการรักษา แพทย์ระบุว่า แผลจากมะเร็งจากเดิมมีขนาด 7 เซนติเมตร ได้ยุบลงไป 2 เซนติเมตร ที่เหลืออีก 5 เซนติเมตร จะต้องรับประทานยาต่อเนื่อง และตรวจเช็กอาการเป็นระยะ ต่อมายาที่ใช้ไม่ตอบสนองต่อการรักษา แพทย์จึงแนะนำให้ใช้ยา Rituximab (ริทูซิแมบ) ซึ่งเป็นยา antibody สำหรับรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ได้ผลดี แต่มีราคาสูงเข็มละ 7-8 หมื่นบาท และมีค่าใช้จ่ายคอร์สละ 5 แสนบาท ซึ่งสิทธิบัตรทองไม่สามารถเบิกได้ เพราะอยู่นอกบัญชียาหลัก ตนจึงไม่ได้รับยารักษาดังกล่าวเพราะไม่มีเงิน
“หมอบอกว่า ยาตัวนี้อยู่นอกบัญชียาหลัก สิทธิบัตรทองเบิกไม่ได้ ผู้ป่วยต้องจ่ายเงินเอง แต่หมอบอกว่า ถ้าเป็นข้าราชการเบิกได้ เราไม่มีลูกเป็นข้าราชการ เป็นสิทธิบัตรทอง ก็รู้สึกน้อยใจ ที่เกิดมายากจน ไม่มีเงินซื้อยารักษา หมอให้กลับมาตรวจเลือดดูอาการทุก 6 เดือน หากอาการดีขึ้นก็โชคดีไป แต่หากไม่ดีขึ้นก็ต้องฉายแสงใหม่ โอกาสที่ตัวเองจะรอดชีวิตมีเพียง 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น หากมีเงินซื้อยาก็อาจจะช่วยชีวิตได้ เห็นว่า รัฐบาลมีนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ อยากให้รัฐบาลทำเรื่องมะเร็งด้วย เพราะเดือดร้อนจริงๆ เรารู้ว่ามียาที่จะรักษาเรา แต่ยามันแพงมาก บัตรทองก็ไม่ครอบคลุม เราทำงานก่อสร้างมีแค่หากินไปวันๆ ไม่มีปัญญาหาเงินไปซื้อยาได้ ป่วยมาก็หลายปีแล้ว อยากหาย ตอนนี้ก็ได้แต่กินสมุนไพรที่เขาว่าช่วยรักษาโรคมะเร็งได้แต่ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ก็ต้องลองผิดลองถูก เพราะดีกว่านอนรอความตายไปวันๆ” นางระเบียบ กล่าว
นางระเบียบ ฤทธิ์คำหาร อายุ 44 ปี ชาว อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง กล่าวว่า ตนเองป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมานานกว่า 3 ปี แต่ไม่มีเงินซื้อยา เพราะมีราคาแพง ป่วยตั้งแต่ปี 2552 โดยถือสิทธิบัตรทองอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นเข้ามาทำงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ โดยระยะแรกไม่ทราบว่าป่วยเป็นอะไร จนมีอาการปวดทนไม่ไหว จึงได้ไปที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ แพทย์เอกซเรย์และวินิจฉัย ว่า ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ต้องใช้ค่ารักษามาก จากนั้นได้ย้ายสิทธิบัตรทองส่งต่อมารักษาที่ รพ.จุฬาฯ ทำให้ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการรักษา ที่ผ่านมา ได้รับการรักษาด้วยวิธีฉายแสง ทำเคมีบำบัดไปแล้ว 11 ครั้ง หลังการรักษา แพทย์ระบุว่า แผลจากมะเร็งจากเดิมมีขนาด 7 เซนติเมตร ได้ยุบลงไป 2 เซนติเมตร ที่เหลืออีก 5 เซนติเมตร จะต้องรับประทานยาต่อเนื่อง และตรวจเช็กอาการเป็นระยะ ต่อมายาที่ใช้ไม่ตอบสนองต่อการรักษา แพทย์จึงแนะนำให้ใช้ยา Rituximab (ริทูซิแมบ) ซึ่งเป็นยา antibody สำหรับรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ได้ผลดี แต่มีราคาสูงเข็มละ 7-8 หมื่นบาท และมีค่าใช้จ่ายคอร์สละ 5 แสนบาท ซึ่งสิทธิบัตรทองไม่สามารถเบิกได้ เพราะอยู่นอกบัญชียาหลัก ตนจึงไม่ได้รับยารักษาดังกล่าวเพราะไม่มีเงิน
“หมอบอกว่า ยาตัวนี้อยู่นอกบัญชียาหลัก สิทธิบัตรทองเบิกไม่ได้ ผู้ป่วยต้องจ่ายเงินเอง แต่หมอบอกว่า ถ้าเป็นข้าราชการเบิกได้ เราไม่มีลูกเป็นข้าราชการ เป็นสิทธิบัตรทอง ก็รู้สึกน้อยใจ ที่เกิดมายากจน ไม่มีเงินซื้อยารักษา หมอให้กลับมาตรวจเลือดดูอาการทุก 6 เดือน หากอาการดีขึ้นก็โชคดีไป แต่หากไม่ดีขึ้นก็ต้องฉายแสงใหม่ โอกาสที่ตัวเองจะรอดชีวิตมีเพียง 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น หากมีเงินซื้อยาก็อาจจะช่วยชีวิตได้ เห็นว่า รัฐบาลมีนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ อยากให้รัฐบาลทำเรื่องมะเร็งด้วย เพราะเดือดร้อนจริงๆ เรารู้ว่ามียาที่จะรักษาเรา แต่ยามันแพงมาก บัตรทองก็ไม่ครอบคลุม เราทำงานก่อสร้างมีแค่หากินไปวันๆ ไม่มีปัญญาหาเงินไปซื้อยาได้ ป่วยมาก็หลายปีแล้ว อยากหาย ตอนนี้ก็ได้แต่กินสมุนไพรที่เขาว่าช่วยรักษาโรคมะเร็งได้แต่ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ก็ต้องลองผิดลองถูก เพราะดีกว่านอนรอความตายไปวันๆ” นางระเบียบ กล่าว