“หมอสมาน” นำทีมบุกงานบุญบั้งไฟร้อยเอ็ด จับร้านเหล้าขายเกลื่อนเย้ยกฎหมาย หวิดปะทะกลุ่มเทศบาล-บริษัทเบียร์ ขณะที่ “เครือข่ายต้านน้ำเมา” ร้อง มท.เร่งตรวจสอบ อัดธุรกิจบาปหากินในงานประเพณีของไทย
วันนี้ (3 มิ.ย.) นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ตรวจสอบร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำผิดกฎหมายในงานประเพณีบุญบั้งไฟของเทศบาลเมืองสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ว่า คณะทำงานได้รับหนังสือร้องเรียน จึงได้เข้าตรวจสอบร้านค้าที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานบุญบั้งไฟจำนวน 12 ร้าน และถูกจับกุมดำเนินคดี 6 ราย เนื่องจากเข้าข่ายละเมิด พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มีความผิด คือ ขายสุราโดยไม่มีใบอนุญาต การขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี การเร่ขาย การโฆษณาเพื่อส่งเสริมการขาย โดยมีการดัดแปลงรถกระบะเป็นรถขายเบียร์สดที่มีการโฆษณาเบียร์ยี่ห้อหนึ่งทั่วทั้งคัน มีการจ้างสาวเชียร์เบียร์ใส่เสื้อโฆษณาเบียร์ยี่ห้อเดียวกันอย่างเด่นชัด อย่างไรก็ตาม เกือบทั้งหมดได้รับสารภาพและเปรียบเทียบปรับในชั้นพนักงานสอบสวนไปแล้ว เหลือเพียงเรื่องความผิดฐานโฆษณาที่เกินอำนาจพนักงานสอบสวนจะเปรียบเทียบได้จึงต้องส่งฟ้องศาลเพื่อดำเนินคดีให้ถึงที่สุดต่อไป
นพ.สมาน กล่าวต่อว่า ระหว่างที่กำลังเข้าไปตรวจสอบถนนสายหลักในการจัดงาน เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบร้านขายโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ เนื่องจากเห็นว่า หน้าร้านบริเวณที่ติดกับทางเท้า ได้มีการตั้งเป็นร้านขายเบียร์ชั่วคราว แต่ได้มีกลุ่มผู้ขายซึ่งเป็นตัวแทนของเอเยนต์เบียร์ยี่ห้อที่สนับสนุนการจัดงานนี้และเจ้าหน้าที่เทศบาลนั่งรวมอยู่ด้วย ได้เข้ามาคุกคาม พูดจาไม่สุภาพถึงขั้นด่าทอ ดูหมิ่นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ หลังจากนั้นจึงได้ประสานเพื่อขอความร่วมมือไปยัง พ.ต.ท.ธวัช ทองสุก รองผู้กำกับสืบสวนสอบสวน สน.สุวรรณภูมิ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้เข้ามาห้ามปราม ซึ่ง พ.ต.ท.ธวัช ช่วยชี้แจงว่า ทางร้านทำผิดกฎหมายจริง แต่หนึ่งในนั้นกลับเดินเข้ามาด่าด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ พ.ต.ท.ธวัช จึงพยายามห้ามปราบ แต่ผู้ค้ารายอื่นลุกฮือขึ้นมา ซึ่งตำรวจที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้เข้ามาสมทบระงับเหตุไว้ได้ทัน ซึ่งหลายรายมีอาการมึนเมา
“เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการใช้กฎหมู่คุกคามดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ ทั้งกระทรวงสาธารณสุข จากส่วนกลาง และตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในพื้นที่ อย่างไม่ยำเกรงกฎหมายสำหรับเจ้าภาพจัดงานหลักครั้งนี้ คือ เทศบาล ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อส่งดำเนินคดีเอาผิดต่อไป เพราะการจัดงานหรือสนับสนุนให้มีกิจกรรมพิเศษต่างๆ ถือว่าเป็นการโฆษณา สื่อสารการตลาด ผิดพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ขณะเดียวกัน ผู้บริหารของเทศบาล ถือเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายฉบับนี้ด้วย ดังนั้น จึงถือเป็นเจ้าของงาน และเมื่อพบเห็นการกระทำความผิดเช่นนี้ แล้วไม่ดำเนินการตามกฎหมายอาจเข้าข่ายการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ต่อไปหากไม่มีการเอาผิด ประเพณีวัฒนธรรมงานบุญบั้งไฟของไทย จะถูกทำให้บิดเบือนด้วยธุรกิจน้ำเมาแปดเปื้อนด้วยธุรกิจบาปไปอย่างน่าเศร้า เพราะระหว่างลงพื้นที่ตรวจสอบได้มีการขายและดื่มเบียร์ของยี่ห้อที่ให้ทุนสนับสนุนเทศบาลในการจัดงานครั้งนี้ รวมถึงปัญหาภายในงานก็มีการทะเลาะชกต่อยกันโดยกลุ่มเยาวชนและคนเมาเป็นระยะ” นพ.สมาน กล่าว
ด้านนายชูวิทย์ จันทรส เลขานุการเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่า การตลาดของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พยายามทำทุกวิถีทางในการเข้าไปหาประโยชน์ทางธุรกิจ รวมถึงสร้างการจดจำในตราสินค้าโดยเฉพาะงานบุญประเพณี งานเทศกาล ไม่เว้นแม้งานกาชาดที่มีครอบครัว ลูกเด็กเล็กแดง ไปเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก โดยไม่เห็นหัวกฎหมาย และทราบมาว่ามีการปลุกระดมผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆให้ออกมาต่อต้านการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงการให้ข้อมูลที่ผิดๆ ว่า การกระทำดังกล่าวไม่ผิดกฎหมาย แต่ผลสุดท้ายเวลาถูกดำเนินคดี คนที่รับกรรมคือผู้ประกอบการ ร้านค้าทั้งหลาย บรรดาเอเยนต์หรือผู้ผลิต ก็ลอยตัว ขณะนี้มีคำพิพากษาออกมาแล้วในหลายพื้นที่ซึ่งชัดเจน ว่าจำเลยที่ 1 โดนเต็มๆคือร้านค้า เป็นที่น่าเสียด้ายว่าปีก่อนหน้านี้ ที่นี่เคยจัดงานบั้งไฟปลอดเหล้ามาแล้วซึ่งลดผลกระทบลงไปได้มาก แต่ในปีนี้กลับมาพ่ายอิทธิพลเหล้าเบียร์
“เครือข่ายฯ ขอเรียกร้องต่อกระทรวงมหาดไทย ให้ติดตามตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วย เพราะเป็นการจัดงานของเทศบาล และผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดโดยตำแหน่งอยู่แล้ว ปล่อยให้เกิดเรื่องดังกล่าวได้อย่างไร ทั้งๆ ที่กระทรวงมหาดไทยมีนโยบายในเรื่องนี้ชัดเจนและมีคำสั่งกำชับอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไปเฉยๆ และทราบว่าในวันที่ 4 มิ.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา กฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเดินทางไปเปิดงานบั้งไฟ อีกแห่งหนึ่งที่อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ดด้วย ซึ่งคงได้ไปพบกับความจริงที่กำลังถูกท้าทายในรูปแบบเดียวกัน” นายชูวิทย์ กล่าว
วันนี้ (3 มิ.ย.) นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ตรวจสอบร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำผิดกฎหมายในงานประเพณีบุญบั้งไฟของเทศบาลเมืองสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ว่า คณะทำงานได้รับหนังสือร้องเรียน จึงได้เข้าตรวจสอบร้านค้าที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานบุญบั้งไฟจำนวน 12 ร้าน และถูกจับกุมดำเนินคดี 6 ราย เนื่องจากเข้าข่ายละเมิด พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มีความผิด คือ ขายสุราโดยไม่มีใบอนุญาต การขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี การเร่ขาย การโฆษณาเพื่อส่งเสริมการขาย โดยมีการดัดแปลงรถกระบะเป็นรถขายเบียร์สดที่มีการโฆษณาเบียร์ยี่ห้อหนึ่งทั่วทั้งคัน มีการจ้างสาวเชียร์เบียร์ใส่เสื้อโฆษณาเบียร์ยี่ห้อเดียวกันอย่างเด่นชัด อย่างไรก็ตาม เกือบทั้งหมดได้รับสารภาพและเปรียบเทียบปรับในชั้นพนักงานสอบสวนไปแล้ว เหลือเพียงเรื่องความผิดฐานโฆษณาที่เกินอำนาจพนักงานสอบสวนจะเปรียบเทียบได้จึงต้องส่งฟ้องศาลเพื่อดำเนินคดีให้ถึงที่สุดต่อไป
นพ.สมาน กล่าวต่อว่า ระหว่างที่กำลังเข้าไปตรวจสอบถนนสายหลักในการจัดงาน เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบร้านขายโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ เนื่องจากเห็นว่า หน้าร้านบริเวณที่ติดกับทางเท้า ได้มีการตั้งเป็นร้านขายเบียร์ชั่วคราว แต่ได้มีกลุ่มผู้ขายซึ่งเป็นตัวแทนของเอเยนต์เบียร์ยี่ห้อที่สนับสนุนการจัดงานนี้และเจ้าหน้าที่เทศบาลนั่งรวมอยู่ด้วย ได้เข้ามาคุกคาม พูดจาไม่สุภาพถึงขั้นด่าทอ ดูหมิ่นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ หลังจากนั้นจึงได้ประสานเพื่อขอความร่วมมือไปยัง พ.ต.ท.ธวัช ทองสุก รองผู้กำกับสืบสวนสอบสวน สน.สุวรรณภูมิ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้เข้ามาห้ามปราม ซึ่ง พ.ต.ท.ธวัช ช่วยชี้แจงว่า ทางร้านทำผิดกฎหมายจริง แต่หนึ่งในนั้นกลับเดินเข้ามาด่าด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ พ.ต.ท.ธวัช จึงพยายามห้ามปราบ แต่ผู้ค้ารายอื่นลุกฮือขึ้นมา ซึ่งตำรวจที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้เข้ามาสมทบระงับเหตุไว้ได้ทัน ซึ่งหลายรายมีอาการมึนเมา
“เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการใช้กฎหมู่คุกคามดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ ทั้งกระทรวงสาธารณสุข จากส่วนกลาง และตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในพื้นที่ อย่างไม่ยำเกรงกฎหมายสำหรับเจ้าภาพจัดงานหลักครั้งนี้ คือ เทศบาล ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อส่งดำเนินคดีเอาผิดต่อไป เพราะการจัดงานหรือสนับสนุนให้มีกิจกรรมพิเศษต่างๆ ถือว่าเป็นการโฆษณา สื่อสารการตลาด ผิดพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ขณะเดียวกัน ผู้บริหารของเทศบาล ถือเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายฉบับนี้ด้วย ดังนั้น จึงถือเป็นเจ้าของงาน และเมื่อพบเห็นการกระทำความผิดเช่นนี้ แล้วไม่ดำเนินการตามกฎหมายอาจเข้าข่ายการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ต่อไปหากไม่มีการเอาผิด ประเพณีวัฒนธรรมงานบุญบั้งไฟของไทย จะถูกทำให้บิดเบือนด้วยธุรกิจน้ำเมาแปดเปื้อนด้วยธุรกิจบาปไปอย่างน่าเศร้า เพราะระหว่างลงพื้นที่ตรวจสอบได้มีการขายและดื่มเบียร์ของยี่ห้อที่ให้ทุนสนับสนุนเทศบาลในการจัดงานครั้งนี้ รวมถึงปัญหาภายในงานก็มีการทะเลาะชกต่อยกันโดยกลุ่มเยาวชนและคนเมาเป็นระยะ” นพ.สมาน กล่าว
ด้านนายชูวิทย์ จันทรส เลขานุการเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่า การตลาดของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พยายามทำทุกวิถีทางในการเข้าไปหาประโยชน์ทางธุรกิจ รวมถึงสร้างการจดจำในตราสินค้าโดยเฉพาะงานบุญประเพณี งานเทศกาล ไม่เว้นแม้งานกาชาดที่มีครอบครัว ลูกเด็กเล็กแดง ไปเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก โดยไม่เห็นหัวกฎหมาย และทราบมาว่ามีการปลุกระดมผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆให้ออกมาต่อต้านการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงการให้ข้อมูลที่ผิดๆ ว่า การกระทำดังกล่าวไม่ผิดกฎหมาย แต่ผลสุดท้ายเวลาถูกดำเนินคดี คนที่รับกรรมคือผู้ประกอบการ ร้านค้าทั้งหลาย บรรดาเอเยนต์หรือผู้ผลิต ก็ลอยตัว ขณะนี้มีคำพิพากษาออกมาแล้วในหลายพื้นที่ซึ่งชัดเจน ว่าจำเลยที่ 1 โดนเต็มๆคือร้านค้า เป็นที่น่าเสียด้ายว่าปีก่อนหน้านี้ ที่นี่เคยจัดงานบั้งไฟปลอดเหล้ามาแล้วซึ่งลดผลกระทบลงไปได้มาก แต่ในปีนี้กลับมาพ่ายอิทธิพลเหล้าเบียร์
“เครือข่ายฯ ขอเรียกร้องต่อกระทรวงมหาดไทย ให้ติดตามตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วย เพราะเป็นการจัดงานของเทศบาล และผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดโดยตำแหน่งอยู่แล้ว ปล่อยให้เกิดเรื่องดังกล่าวได้อย่างไร ทั้งๆ ที่กระทรวงมหาดไทยมีนโยบายในเรื่องนี้ชัดเจนและมีคำสั่งกำชับอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไปเฉยๆ และทราบว่าในวันที่ 4 มิ.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา กฎหมายห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเดินทางไปเปิดงานบั้งไฟ อีกแห่งหนึ่งที่อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ดด้วย ซึ่งคงได้ไปพบกับความจริงที่กำลังถูกท้าทายในรูปแบบเดียวกัน” นายชูวิทย์ กล่าว