ปลัด ศธ.ยัวะ ส่งทนายความยื่นฟ้อง “ศักดา-ประแสง” ใส่ความตนเรื่องเบิกจ่ายเงินครุภัณฑ์ 122.58 ล้านบาท โดยไม่มีเอกสารจัดซื้อจัดจ้าง และละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ศาลนัดไต่สวน 30 ก.ค.นี้
วันนี้ (1 มิ.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ อายุ 57 ปี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)ได้มอบอำนาจให้ทนายความเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายศักดา คงเพชร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายประแสง มงคลศิริ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แจ้งความเท็จ และหมิ่นประมาทด้วยเอกสาร
โดยข้อความในคำฟ้อง ระบุว่า ระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2555 จำเลยทั้งสองกระทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกรรมด้วยการสมคบกันให้จำเลยที่ 2 ทำบันทึกถึงจำเลยที่ 1 กล่าวหาว่า โจทก์กระทำความผิดคดีอาญาอนุมัติให้เบิกจ่ายเงินครุภัณฑ์แก่ผู้ขายจำนวน 122.5 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ดำเนินคดีกับโจทก์ ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ทำนองว่า เมื่อครั้งโจทก์ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการอาชีวศึกษา โจทก์ลงนามอนุมัติเบิกจ่ายเงินให้แก่เอกชน ทั้งที่เอกสารสำคัญในการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์อาชีวศึกษา ภายใต้โครงการแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือไทยเข้มแข็ง 2555 สูญหาย แต่โจทก์ไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงให้เสร็จสิ้นก่อน นอกจากนี้ จำเลยยังให้สัมภาษณ์หมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ต่อสื่อมวลชนในเรื่องดังกล่าว ล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ในข้อความยังระบุอีกว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 2 คนทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชังเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงขอให้ศาลออกหมายเรียกจำเลยทั้งสองมาแก้ต่างคดีและพิพากษาลงโทษตามความผิด และให้ลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวันรวม 6 ฉบับด้วย ทั้งนี้ ศาลได้รับคำฟ้อง และจะนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์วันที่ 30 กรกฎาคมนี้ เวลา 13.30 น.
วันนี้ (1 มิ.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ อายุ 57 ปี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)ได้มอบอำนาจให้ทนายความเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายศักดา คงเพชร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายประแสง มงคลศิริ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แจ้งความเท็จ และหมิ่นประมาทด้วยเอกสาร
โดยข้อความในคำฟ้อง ระบุว่า ระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2555 จำเลยทั้งสองกระทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกรรมด้วยการสมคบกันให้จำเลยที่ 2 ทำบันทึกถึงจำเลยที่ 1 กล่าวหาว่า โจทก์กระทำความผิดคดีอาญาอนุมัติให้เบิกจ่ายเงินครุภัณฑ์แก่ผู้ขายจำนวน 122.5 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ดำเนินคดีกับโจทก์ ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ทำนองว่า เมื่อครั้งโจทก์ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการอาชีวศึกษา โจทก์ลงนามอนุมัติเบิกจ่ายเงินให้แก่เอกชน ทั้งที่เอกสารสำคัญในการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์อาชีวศึกษา ภายใต้โครงการแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือไทยเข้มแข็ง 2555 สูญหาย แต่โจทก์ไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงให้เสร็จสิ้นก่อน นอกจากนี้ จำเลยยังให้สัมภาษณ์หมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ต่อสื่อมวลชนในเรื่องดังกล่าว ล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ในข้อความยังระบุอีกว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 2 คนทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชังเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงขอให้ศาลออกหมายเรียกจำเลยทั้งสองมาแก้ต่างคดีและพิพากษาลงโทษตามความผิด และให้ลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวันรวม 6 ฉบับด้วย ทั้งนี้ ศาลได้รับคำฟ้อง และจะนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์วันที่ 30 กรกฎาคมนี้ เวลา 13.30 น.