“ศักดา” ปูพรมตรวจยาเสพติดทั่วประเทศ เน้นเขตชายแดน ใกล้พื้นที่ชุมชนหนาแน่น พุ่งเป้าที่เด็กมัธยม และอาชีวะ เป็นหลัก แนะสถานศึกษาจัดจุดตรวจฉี่โดยเฉพาะ และคัดกรองเด็กออกมาบำบัด พร้อมประสาน ป.ป.ส.ให้การช่วยเหลือ
วันนี้ (8 มี.ค.) นายศักดา คงเพชร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมนำสุนัขตำรวจเข้าสุ่มตรวจยาเสพติด และตรวจปัสสาวะนักศึกษาที่วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา ว่า ตนได้มอบนโยบายต่อสถานศึกษา ว่า ควรให้มีการสุ่มตรวจ และคัดกรองนักศึกษาที่มีความเสี่ยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อนำมาบำบัดรักษาโดยจะไม่มีการบันทึกในประวัติ แต่หากยังกระทำซ้ำเป็นครั้งที่ 2 จะมีการบันทึกลงประวัติไว้ ทั้งนี้ ตนจะสุ่มตรวจสอบสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยจะเน้นที่กลุ่มนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ระดับอาชีวศึกษา เป็นสำคัญ ส่วนระดับอุดมศึกษาอาจจะมีการสุ่มตรวจบ้าง อย่างไรก็ตาม ได้เสนอว่าสถานศึกษาควรจะจัดจุดรวมตรวจปัสสาวะในสถาบัน เพื่อให้การตรวจสอบทำง่ายขึ้น โดยจัดเตรียมอุปกรณ์ชุดตรวจให้พร้อม ขณะเดียวกัน มีการเสนอด้วยว่าน่าจะใช้อุปกรณ์ชุดตรวจน้ำลาย ซึ่งง่ายต่อการปฏิบัติงานมากกว่า ทั้งนี้ ตนไม่มั่นใจว่า หากเป็นอุปกรณ์ชุดตรวจน้ำลายจะมีราคาสูงหรือไม่ แต่เบื้องต้นได้ประสานขอความร่วมมือจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ให้การช่วยเหลือ
“เป้าหมายการสุ่มตรวจจะเน้นที่กลุ่มเด็กมัธยม และอาชีวะเป็นหลัก โดยเฉพาะสถานศึกษาที่อยู่ในพื้นที่ติดชายแดน และในพื้นที่ชุมชนหนาแน่น ซึ่งมีความเสี่ยงเรื่องปัญหายาเสพติดค่อนข้างมาก โดยเท่าที่ได้รับรายงานนั้น มีกลุ่มเสี่ยงประมาณ 5 หมื่นคน แต่ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องในเรื่องของเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ และบุหรี่ แต่เรื่องยาเสพติดยังไม่มีข้อมูลชัดเจน ซึ่งผมเน้นย้ำว่า ตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจะประมาณการไม่ได้ ต้องให้ระบุให้ชัดเจน และอยากฝากถึงพ่อแม่ ผู้ปกครองให้ช่วยกันสังเกตพฤติกรรมของลูกหลานตนเองด้วยว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ เช่น ฉุนเฉียวผิดปกติ หรือไม่สุงสิงกับใครชอบอยู่คนเดียว เป็นต้น และหาสาเหตุว่า เป็นเพราะผลจากการเสพยาหรือไม่อย่างไรเพื่อที่จะได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
นายศักดา กล่าวต่อว่า สำหรับข้าราชการ ครู อาจารย์ ที่เข้าไปมีส่วนพัวพันกับยาเสพติดนั้น มีความผิดทั้งทางแพ่ง และทางอาญา ซึ่งหากพบจะดำเนินการเอาผิดทันทีไม่มีการผ่อนผันให้เหมือนกรณีนักเรียน นักศึกษา เพราะในฐานะครูผู้สอนจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่นักเรียน ซึ่งตนจะได้ประสานสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้ช่วยติดตามพฤติกรรมครูที่ต้องสงสัยว่ามีการใช้จ่ายผิดปกติด้วย
วันนี้ (8 มี.ค.) นายศักดา คงเพชร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมนำสุนัขตำรวจเข้าสุ่มตรวจยาเสพติด และตรวจปัสสาวะนักศึกษาที่วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา ว่า ตนได้มอบนโยบายต่อสถานศึกษา ว่า ควรให้มีการสุ่มตรวจ และคัดกรองนักศึกษาที่มีความเสี่ยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อนำมาบำบัดรักษาโดยจะไม่มีการบันทึกในประวัติ แต่หากยังกระทำซ้ำเป็นครั้งที่ 2 จะมีการบันทึกลงประวัติไว้ ทั้งนี้ ตนจะสุ่มตรวจสอบสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยจะเน้นที่กลุ่มนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ระดับอาชีวศึกษา เป็นสำคัญ ส่วนระดับอุดมศึกษาอาจจะมีการสุ่มตรวจบ้าง อย่างไรก็ตาม ได้เสนอว่าสถานศึกษาควรจะจัดจุดรวมตรวจปัสสาวะในสถาบัน เพื่อให้การตรวจสอบทำง่ายขึ้น โดยจัดเตรียมอุปกรณ์ชุดตรวจให้พร้อม ขณะเดียวกัน มีการเสนอด้วยว่าน่าจะใช้อุปกรณ์ชุดตรวจน้ำลาย ซึ่งง่ายต่อการปฏิบัติงานมากกว่า ทั้งนี้ ตนไม่มั่นใจว่า หากเป็นอุปกรณ์ชุดตรวจน้ำลายจะมีราคาสูงหรือไม่ แต่เบื้องต้นได้ประสานขอความร่วมมือจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ให้การช่วยเหลือ
“เป้าหมายการสุ่มตรวจจะเน้นที่กลุ่มเด็กมัธยม และอาชีวะเป็นหลัก โดยเฉพาะสถานศึกษาที่อยู่ในพื้นที่ติดชายแดน และในพื้นที่ชุมชนหนาแน่น ซึ่งมีความเสี่ยงเรื่องปัญหายาเสพติดค่อนข้างมาก โดยเท่าที่ได้รับรายงานนั้น มีกลุ่มเสี่ยงประมาณ 5 หมื่นคน แต่ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องในเรื่องของเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ และบุหรี่ แต่เรื่องยาเสพติดยังไม่มีข้อมูลชัดเจน ซึ่งผมเน้นย้ำว่า ตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจะประมาณการไม่ได้ ต้องให้ระบุให้ชัดเจน และอยากฝากถึงพ่อแม่ ผู้ปกครองให้ช่วยกันสังเกตพฤติกรรมของลูกหลานตนเองด้วยว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ เช่น ฉุนเฉียวผิดปกติ หรือไม่สุงสิงกับใครชอบอยู่คนเดียว เป็นต้น และหาสาเหตุว่า เป็นเพราะผลจากการเสพยาหรือไม่อย่างไรเพื่อที่จะได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว
นายศักดา กล่าวต่อว่า สำหรับข้าราชการ ครู อาจารย์ ที่เข้าไปมีส่วนพัวพันกับยาเสพติดนั้น มีความผิดทั้งทางแพ่ง และทางอาญา ซึ่งหากพบจะดำเนินการเอาผิดทันทีไม่มีการผ่อนผันให้เหมือนกรณีนักเรียน นักศึกษา เพราะในฐานะครูผู้สอนจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่นักเรียน ซึ่งตนจะได้ประสานสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้ช่วยติดตามพฤติกรรมครูที่ต้องสงสัยว่ามีการใช้จ่ายผิดปกติด้วย
