สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระโอวาทวันมาฆบูชา ประจำปี 2555 ให้คนไทยระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย พร้อมสืบทอดพระพุทธศาสนา ให้เกิดสันติภาพและสันติสุขของโลก
วันนี้ (22 ก.พ.) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระโอวาทเนื่องในวันมาฆบูชา พุทธศักราช 2555 ความว่า วันมาฆบูชาอันเป็นอภิลักขิตกาลที่สำคัญวาระหนึ่งของพระพุทธศาสนา ได้เวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 7 มีนาคม 2555 นี้ เมื่ออภิลักขิตกาลเช่นนี้เวียนมาถึง ก็เตือนจิตให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญ ในพระพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นในวาระนี้ คือ จาตุรงคสันนิบาต การประชุมที่พร้อมด้วยองค์ 4 คือ พระอรหันตสาวก 1,250 รูป มาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย พระอรหันตสาวกเหล่านั้นล้วนเป็นเอหิภิกขุ พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ และวันนั้นเป็นวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะ หรือเดือน 3 ฉะนั้น เพื่อเป็นการรำลึกถึงวาระสำคัญดังกล่าวแล้ว พุทธศาสนิกชนทั่วไปจึงได้ทำการบูชาเป็นพิเศษขึ้น เรียกว่า มาฆบูชา
วันมาฆบูชา จึงเป็นการบูชาเพื่อน้อมรำลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ที่รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย ซึ่งเมื่อเรียกโดยระบุชื่อแล้ว ดูเหมือนจะเป็นคนละอย่างต่างกัน แต่ว่าโดยสารัตถะ หรือความหมายที่แท้จริงแล้ว พระรัตนตรัยนั้นก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน คือ พระธรรม ความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และพระสงฆ์ได้ทรงรักษาไว้และปฏิบัติสืบต่อกันมานั้นเอง และพระธรรม ความจริงที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน ที่เรียกรวมว่า พระพุทธศาสนานั้น ก็สรุปลงเป็นหลักสำคัญดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในโอวาทปาติโมกข์ 3 ข้อ คือ การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม และการชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์
ฉะนั้น ผู้ที่ระลึกถึงพระพุทธโอวาทนี้อยู่เสมอ จึงเท่ากับระลึกถึงพระรัตนตรัยอยู่เสมอ ผู้ที่มีพระธรรมคำสอน ทั้ง 3 ประการนี้อยู่ในใจ ก็เท่ากับมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในใจ ผู้ที่น้อมนำเอาพระธรรมคำสอนทั้ง 3 ประการนี้ มาปฏิบัติเป็นปกติประจำวัน ก็ได้ชื่อว่าได้ปฏิบัติบูชาพระรัตนตรัย พร้อมทั้งได้ปฏิบัตินับถือพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
อนึ่ง ในปีพุทธศักราช 2555 นี้ เป็นวาระครบ 26 ศตวรรษแห่งพระพุทธศาสนาที่ประดิษฐานมั่นคงอยู่ในโลก นับว่า เป็นอภิลักขิตกาลที่พิเศษอีกวาระหนึ่ง จึงควรที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จักถือเป็นโอกาสใส่ใจศึกษาและตั้งใจ ปฏิบัติพระพุทธศาสนากันอย่างจริงจังอีกวาระหนึ่ง เพื่อความดำรงคงอยู่ของพระสัทธรรม อันจะอำนวยสันติภาพและสันติสุขแก่โลก ตลอดไปชั่วกาลนาน
วันนี้ (22 ก.พ.) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระโอวาทเนื่องในวันมาฆบูชา พุทธศักราช 2555 ความว่า วันมาฆบูชาอันเป็นอภิลักขิตกาลที่สำคัญวาระหนึ่งของพระพุทธศาสนา ได้เวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 7 มีนาคม 2555 นี้ เมื่ออภิลักขิตกาลเช่นนี้เวียนมาถึง ก็เตือนจิตให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญ ในพระพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นในวาระนี้ คือ จาตุรงคสันนิบาต การประชุมที่พร้อมด้วยองค์ 4 คือ พระอรหันตสาวก 1,250 รูป มาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย พระอรหันตสาวกเหล่านั้นล้วนเป็นเอหิภิกขุ พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ และวันนั้นเป็นวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะ หรือเดือน 3 ฉะนั้น เพื่อเป็นการรำลึกถึงวาระสำคัญดังกล่าวแล้ว พุทธศาสนิกชนทั่วไปจึงได้ทำการบูชาเป็นพิเศษขึ้น เรียกว่า มาฆบูชา
วันมาฆบูชา จึงเป็นการบูชาเพื่อน้อมรำลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ที่รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย ซึ่งเมื่อเรียกโดยระบุชื่อแล้ว ดูเหมือนจะเป็นคนละอย่างต่างกัน แต่ว่าโดยสารัตถะ หรือความหมายที่แท้จริงแล้ว พระรัตนตรัยนั้นก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน คือ พระธรรม ความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และพระสงฆ์ได้ทรงรักษาไว้และปฏิบัติสืบต่อกันมานั้นเอง และพระธรรม ความจริงที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน ที่เรียกรวมว่า พระพุทธศาสนานั้น ก็สรุปลงเป็นหลักสำคัญดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในโอวาทปาติโมกข์ 3 ข้อ คือ การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม และการชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์
ฉะนั้น ผู้ที่ระลึกถึงพระพุทธโอวาทนี้อยู่เสมอ จึงเท่ากับระลึกถึงพระรัตนตรัยอยู่เสมอ ผู้ที่มีพระธรรมคำสอน ทั้ง 3 ประการนี้อยู่ในใจ ก็เท่ากับมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในใจ ผู้ที่น้อมนำเอาพระธรรมคำสอนทั้ง 3 ประการนี้ มาปฏิบัติเป็นปกติประจำวัน ก็ได้ชื่อว่าได้ปฏิบัติบูชาพระรัตนตรัย พร้อมทั้งได้ปฏิบัตินับถือพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
อนึ่ง ในปีพุทธศักราช 2555 นี้ เป็นวาระครบ 26 ศตวรรษแห่งพระพุทธศาสนาที่ประดิษฐานมั่นคงอยู่ในโลก นับว่า เป็นอภิลักขิตกาลที่พิเศษอีกวาระหนึ่ง จึงควรที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จักถือเป็นโอกาสใส่ใจศึกษาและตั้งใจ ปฏิบัติพระพุทธศาสนากันอย่างจริงจังอีกวาระหนึ่ง เพื่อความดำรงคงอยู่ของพระสัทธรรม อันจะอำนวยสันติภาพและสันติสุขแก่โลก ตลอดไปชั่วกาลนาน