“ทันตธาตุพระพุทธเจ้า” จากภูฏานถึงไทยแล้ว เตรียมจัดพิธีสมโภชยิ่งใหญ่ 3 ธ.ค.นี้ ประดิษฐานให้ประชาชนสักการะที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง รวมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554
เมื่อเวลา 16.40 น.วันนี้ (2 ธ.ค.) ที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) พร้อมด้วยซัมเตน ดอจิ จูกลา โลเปน หัวหน้าคณะผู้อัญเชิญพระทันตธาตุ และเดโช ซังเก วังชุก องคมนตรี ผู้แทนพระองค์สมเด็จพระราชาธิบดี อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุส่วนทันตธาตุของกัสสปะพุทธเจ้า องค์ที่ 3 จากราชอาณาจักรภูฏาน มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราวในราชอาณาจักรไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554
นายสุรวิทย์ กล่าวต่อว่า สำหรับพระบรมสารีริกธาตุของกัสสปะพุทธเจ้านี้ ทางคณะสงฆ์ของภูฏาน ระบุว่า เป็นองค์เดียวในโลกและได้เก็บรักษาเป็นอย่างดีในพระราชวังของสมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ไม่เคยนำออกนอกประเทศมาก่อน แต่เนื่องจากภูฏานกับไทยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน มีพระราชประสงค์จะร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา ด้วยการพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวมาประดิษฐานในประเทศไทยเป็นการชั่วคราวเป็นประเทศแรก เป็นระยะเวลา 4 เดือน โดยระหว่างวันที่ 3-9 ธ.ค.จะประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง จากนั้นจะต้องมีการหารืออีกครั้งว่าจะประดิษฐานที่ใด
“เพื่อการปฏิบัติบูชาถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ และเป็นการบำรุงขวัญสร้างกำลังใจให้แก่พุทธศาสนิกชนชาวไทยที่ประสบภัยพิบัติจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยจะได้ใช้โอกาสนี้ กราบไหว้สักการบูชาพระบรมสารีริกธาตุอย่างใกล้ชิดเสมือนหนึ่งได้เข้าเฝ้ากราบไหว้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตนเอง นับว่าเป็นสิริมงคลทั้งต่อตนเอง และครอบครัว”
ด้าน ดร.อำนาจ บัวศิริ รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า พศ.ได้เตรียมการดำเนินงานอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ โดยมีกำหนดพิธีสมโภชพระบรมสารีริกธาตุ ในวันที่ 3 ธ.ค.54 ในเวลา 16.00 น.ณ บุษบกที่ประดิษฐานบริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง มีพระภิกษุสงฆ์ จากราชอาณาจักรภูฏานเดินทางมาร่วมงานด้วย ซึ่งในระหว่างที่ยังประดิษฐานในราชอาณาจักรไทยนั้น จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ อาทิ การเจริญพระพุทธมนต์ การทำบุญตักบาตร การปฏิบัติสมาธิภาวนา การพระธรรมเทศนา ร่วมกันระหว่างพระภิกษุสงฆ์จากราชอาณาจักรภูฏาน และพระภิกษุสงฆ์จากราชอาณาจักรไทย จึงขอเชิญชวนผู้สนใจร่วมสักการะพระบรมสารีริกธาตุองค์ดังกล่าวได้ทุกวัน
นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า กรมการศาสนาได้จัดพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ระหว่างวันที่ 3-9 ธ.ค.2554 เวลา 06.30 -08.00 น. ณ บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยในวันที่ 3 ธ.ค.เวลา 07.30 น.จะมีการเดินเทิดพระเกียรติฯ มี นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้นำองค์การศาสนา 5 ศาสนา เดินจากบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เข้าสู่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง จากนั้นจะมีพิธีเปิดกรวยราชสักการะ ถวายสัตย์ปฏิญาณ และพิธีทางศาสนามหามงคลเฉลิมพระเกียรติ ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร โดยศาสนาพุทธมีการประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศล (พระสงฆ์ 85 รูป) ศาสนาอิสลาม ประกอบพิธีเพื่อขอพรจากอัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้า ศาสนาคริสต์ ประกอบวจนพิธีนมัสการพระเจ้าพร้อมกล่าวคำอธิษฐาน ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประกอบพิธีสวดถวายพระพร และศาสนาซิกข์ ประกอบพิธีอธิษฐานขอพรจากพระศาสดา
เมื่อเวลา 16.40 น.วันนี้ (2 ธ.ค.) ที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) พร้อมด้วยซัมเตน ดอจิ จูกลา โลเปน หัวหน้าคณะผู้อัญเชิญพระทันตธาตุ และเดโช ซังเก วังชุก องคมนตรี ผู้แทนพระองค์สมเด็จพระราชาธิบดี อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุส่วนทันตธาตุของกัสสปะพุทธเจ้า องค์ที่ 3 จากราชอาณาจักรภูฏาน มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราวในราชอาณาจักรไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554
นายสุรวิทย์ กล่าวต่อว่า สำหรับพระบรมสารีริกธาตุของกัสสปะพุทธเจ้านี้ ทางคณะสงฆ์ของภูฏาน ระบุว่า เป็นองค์เดียวในโลกและได้เก็บรักษาเป็นอย่างดีในพระราชวังของสมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ไม่เคยนำออกนอกประเทศมาก่อน แต่เนื่องจากภูฏานกับไทยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน มีพระราชประสงค์จะร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา ด้วยการพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวมาประดิษฐานในประเทศไทยเป็นการชั่วคราวเป็นประเทศแรก เป็นระยะเวลา 4 เดือน โดยระหว่างวันที่ 3-9 ธ.ค.จะประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง จากนั้นจะต้องมีการหารืออีกครั้งว่าจะประดิษฐานที่ใด
“เพื่อการปฏิบัติบูชาถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ และเป็นการบำรุงขวัญสร้างกำลังใจให้แก่พุทธศาสนิกชนชาวไทยที่ประสบภัยพิบัติจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยจะได้ใช้โอกาสนี้ กราบไหว้สักการบูชาพระบรมสารีริกธาตุอย่างใกล้ชิดเสมือนหนึ่งได้เข้าเฝ้ากราบไหว้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตนเอง นับว่าเป็นสิริมงคลทั้งต่อตนเอง และครอบครัว”
ด้าน ดร.อำนาจ บัวศิริ รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า พศ.ได้เตรียมการดำเนินงานอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ โดยมีกำหนดพิธีสมโภชพระบรมสารีริกธาตุ ในวันที่ 3 ธ.ค.54 ในเวลา 16.00 น.ณ บุษบกที่ประดิษฐานบริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง มีพระภิกษุสงฆ์ จากราชอาณาจักรภูฏานเดินทางมาร่วมงานด้วย ซึ่งในระหว่างที่ยังประดิษฐานในราชอาณาจักรไทยนั้น จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ อาทิ การเจริญพระพุทธมนต์ การทำบุญตักบาตร การปฏิบัติสมาธิภาวนา การพระธรรมเทศนา ร่วมกันระหว่างพระภิกษุสงฆ์จากราชอาณาจักรภูฏาน และพระภิกษุสงฆ์จากราชอาณาจักรไทย จึงขอเชิญชวนผู้สนใจร่วมสักการะพระบรมสารีริกธาตุองค์ดังกล่าวได้ทุกวัน
นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า กรมการศาสนาได้จัดพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ระหว่างวันที่ 3-9 ธ.ค.2554 เวลา 06.30 -08.00 น. ณ บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยในวันที่ 3 ธ.ค.เวลา 07.30 น.จะมีการเดินเทิดพระเกียรติฯ มี นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้นำองค์การศาสนา 5 ศาสนา เดินจากบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เข้าสู่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง จากนั้นจะมีพิธีเปิดกรวยราชสักการะ ถวายสัตย์ปฏิญาณ และพิธีทางศาสนามหามงคลเฉลิมพระเกียรติ ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร โดยศาสนาพุทธมีการประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศล (พระสงฆ์ 85 รูป) ศาสนาอิสลาม ประกอบพิธีเพื่อขอพรจากอัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้า ศาสนาคริสต์ ประกอบวจนพิธีนมัสการพระเจ้าพร้อมกล่าวคำอธิษฐาน ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประกอบพิธีสวดถวายพระพร และศาสนาซิกข์ ประกอบพิธีอธิษฐานขอพรจากพระศาสดา