หญิงที่เจ็บครรภ์คลอดไม่สามารถห้ามระงับหรือขอเลื่อนให้ไปคลอดหลังน้ำลดได้ ดังเช่นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นแล้วก็สุดจะทัดทาน
ขณะที่มีเด็กส่วนหนึ่งที่คลอดในช่วงอุทกภัย ซึ่งปัญหาหนึ่งในพื้นที่อุทกภัยปีนี้จะเห็นได้ว่า สถานที่ประสบภัยเกิดทั้งบริเวณที่อยู่อาศัย ย่านการค้า และสถานที่ราชการ มีโรงพยาบาลหลายแห่งที่ประสบภัยเช่นกัน นอกจากจะเกิดผลกระทบต่อการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโดยตรงแล้ว ยังอาจเกิดผลกระทบต่อเด็กที่เกิดเช่นกัน เนื่องจากบิดามารดาไม่สามารถทำเรื่องแจ้งเกิดเด็กเพื่อขอรับสูติบัตรตามกฎหมายกำหนดภายใน 15 วันหลังเกิดได้
สิ่งที่น่ากังวลคือ ในอนาคตหากพ่อแม่มีกิจธุระวุ่นวาย หรือเคร่งเครียดกับการบูรณะที่อยู่อาศัย อาจหลงลืมที่จะไปติดต่อส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทำให้ลูกตกสำรวจ ไม่ได้รับสิทธิต่างๆ ในฐานะที่คนไทยพึงได้รับ เช่น สิทธิในการรักษาพยาบาล สิทธิ์ในการศึกษาเล่าเรียน
พญ.ปราณี เมืองน้อย กุมารแพทย์สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กรมการแพทย์ มีข้อแนะนำสำหรับมารดาที่ให้กำเนิดบุตร ในพื้นที่ประสบอุทกภัยดังนี้
1.สถานพยาบาลที่ทำคลอด จะออกหนังสือรับรองการเกิดให้กับบิดา มารดา เพื่อนำไปเป็นเอกสารประกอบการแจ้งการเกิดที่สำนักทะเบียนท้องที่ที่มีคนเกิด เพื่อขอรับสูติบัตร ภายใน 15 วันนับแต่วันเกิดซึ่งถือเป็นเอกสารสำคัญ จึงขอให้เก็บรักษาหนังสือรับรองการเกิดนั้นอย่างดี เพื่อนำไปแจ้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายหลัง
2.เอกสารอื่นๆที่ต้องเตรียมไปให้พร้อมประกอบการยื่นแจ้งเกิด ประกอบด้วย
- บัตรประจำตัวประชาชนพร้อมสำเนาของบิดามารดา
- ทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านที่จะย้ายเด็กเข้าพร้อมสำเนาหน้าที่ระบุเจ้าบ้านและหน้าที่มีเลขที่บ้าน
- ทะเบียนสมรสพร้อมสำเนา (ในรายที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสต้องมีหนังสือยินยอมให้ใช้นามสกุลบิดา)
3.เตรียมตั้งชื่อลูกไปด้วย โดยการตั้งชื่อตัว (ชื่อประจำบุคคล) ของลูก ต้องไม่ให้พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับพระปรมาภิไธย พระนามของพระราชินี หรือราชทินนาม และต้องไม่มีคำหรือความหมายหยาบคาย โดยชื่อหนึ่งไม่เกิน 5 พยางค์
4.การแจ้งเกิดที่หน่วยงานใด ขึ้นกับถิ่นที่เกิดของเด็ก หากเกิดใน กทม.ให้แจ้งที่สำนักงานเขตนั้นๆ หากเกิดในเขตเทศบาล แจ้งที่สำนักงานเทศบาล หากเกิดนอกเขตเทศบาลให้แจ้งเกิดที่ว่าการอำเภอ จึงควรรีบทำการแจ้งเกิดบุตรทันทีที่หน่วยงานดังกล่าวสามารถเปิดทำการเช่นปกติได้
5.ปกติแล้ว หากแจ้งเกิดบุตรเกินกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ (15 วัน) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท แต่เชื่อว่าในกรณีเช่นนี้คงมีการยกเว้นเป็นพิเศษ
ขณะที่มีเด็กส่วนหนึ่งที่คลอดในช่วงอุทกภัย ซึ่งปัญหาหนึ่งในพื้นที่อุทกภัยปีนี้จะเห็นได้ว่า สถานที่ประสบภัยเกิดทั้งบริเวณที่อยู่อาศัย ย่านการค้า และสถานที่ราชการ มีโรงพยาบาลหลายแห่งที่ประสบภัยเช่นกัน นอกจากจะเกิดผลกระทบต่อการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโดยตรงแล้ว ยังอาจเกิดผลกระทบต่อเด็กที่เกิดเช่นกัน เนื่องจากบิดามารดาไม่สามารถทำเรื่องแจ้งเกิดเด็กเพื่อขอรับสูติบัตรตามกฎหมายกำหนดภายใน 15 วันหลังเกิดได้
สิ่งที่น่ากังวลคือ ในอนาคตหากพ่อแม่มีกิจธุระวุ่นวาย หรือเคร่งเครียดกับการบูรณะที่อยู่อาศัย อาจหลงลืมที่จะไปติดต่อส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทำให้ลูกตกสำรวจ ไม่ได้รับสิทธิต่างๆ ในฐานะที่คนไทยพึงได้รับ เช่น สิทธิในการรักษาพยาบาล สิทธิ์ในการศึกษาเล่าเรียน
พญ.ปราณี เมืองน้อย กุมารแพทย์สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กรมการแพทย์ มีข้อแนะนำสำหรับมารดาที่ให้กำเนิดบุตร ในพื้นที่ประสบอุทกภัยดังนี้
1.สถานพยาบาลที่ทำคลอด จะออกหนังสือรับรองการเกิดให้กับบิดา มารดา เพื่อนำไปเป็นเอกสารประกอบการแจ้งการเกิดที่สำนักทะเบียนท้องที่ที่มีคนเกิด เพื่อขอรับสูติบัตร ภายใน 15 วันนับแต่วันเกิดซึ่งถือเป็นเอกสารสำคัญ จึงขอให้เก็บรักษาหนังสือรับรองการเกิดนั้นอย่างดี เพื่อนำไปแจ้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายหลัง
2.เอกสารอื่นๆที่ต้องเตรียมไปให้พร้อมประกอบการยื่นแจ้งเกิด ประกอบด้วย
- บัตรประจำตัวประชาชนพร้อมสำเนาของบิดามารดา
- ทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านที่จะย้ายเด็กเข้าพร้อมสำเนาหน้าที่ระบุเจ้าบ้านและหน้าที่มีเลขที่บ้าน
- ทะเบียนสมรสพร้อมสำเนา (ในรายที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสต้องมีหนังสือยินยอมให้ใช้นามสกุลบิดา)
3.เตรียมตั้งชื่อลูกไปด้วย โดยการตั้งชื่อตัว (ชื่อประจำบุคคล) ของลูก ต้องไม่ให้พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับพระปรมาภิไธย พระนามของพระราชินี หรือราชทินนาม และต้องไม่มีคำหรือความหมายหยาบคาย โดยชื่อหนึ่งไม่เกิน 5 พยางค์
4.การแจ้งเกิดที่หน่วยงานใด ขึ้นกับถิ่นที่เกิดของเด็ก หากเกิดใน กทม.ให้แจ้งที่สำนักงานเขตนั้นๆ หากเกิดในเขตเทศบาล แจ้งที่สำนักงานเทศบาล หากเกิดนอกเขตเทศบาลให้แจ้งเกิดที่ว่าการอำเภอ จึงควรรีบทำการแจ้งเกิดบุตรทันทีที่หน่วยงานดังกล่าวสามารถเปิดทำการเช่นปกติได้
5.ปกติแล้ว หากแจ้งเกิดบุตรเกินกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ (15 วัน) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท แต่เชื่อว่าในกรณีเช่นนี้คงมีการยกเว้นเป็นพิเศษ
