ลูกจ้างค้านนำร่องขึ้นค่าจ้าง 7 จังหวัด จี้รัฐปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บ.พร้อมกันทั่วประเทศ บุกทวงสัญญาจาก “เผดิมชัย” แต่ รมว.แรงงาน ยังไม่ให้เข้าพบ นายจ้างวอนรัฐอย่าแทรกแซงบอร์ดค่าจ้าง ปล่อยพิจารณาตามกรอบ กม.
วันนี้ (1 ก.ย.) จากกรณีที่ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (รมว.รง.) มีนโยบายเตรียมจะนำร่องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ใน 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม นนทบุรี และ ภูเก็ต นั้น นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับกับแนวทางดังกล่าว เพราะรัฐบาลได้หาเสียงไว้ว่าจะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท ทุกจังหวัดพร้อมกันทั่วประเทศ จึงอยากให้รัฐบาลดำเนินการปรับขึ้นค่าจ้างตามที่ได้หาเสียงไว้ เนื่องจากขณะนี้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคได้มีการปรับขึ้นนำค่าจ้างขั้นต่ำไปแล้ว ทำให้แรงงานมีค่าครองชีพสูงขึ้น

นายมนัส กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กลุ่มแรงงานได้ขอเข้าพบ รมว.แรงงาน ในวันที่ 2 ก.ย.นี้ เพื่อขอหารือในเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ และการดูแลแรงงาน เช่น การพัฒนาระบบประกันสังคม แต่ รมว.แรงงานยังไม่ให้เข้าพบ อย่างไรก็ตาม สภาองค์กรลุกจ้าง จะร่วมกับคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) แถลงข่าวในวันที่ 5 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น.ที่โรงแรมบางกอกพาเลซ กทม.โดยมี รมว.แรงงาน ร่วมแถลงข่าวด้วย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท พร้อมกันทั่วประเทศ โดยอยากให้ปรับในช่วงเดือน ต.ค.นี้ พร้อมกับกลุ่มข้าราชการและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ
ด้านนายนคร สุทธิประวัติ ประธานสภาองค์การลูกจ้าง สภาแรงงานอิสระแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าจ้างเป็น 300 บาท ตามแนวทางที่ รมว.แรงงาน เสนอ คงไม่เกิดผลประโยชน์อะไรกับลูกจ้างมากนัก เนื่องจากใน 7 จังหวัดที่กล่าวว่าจะปรับเป็นการนำร่องนั้น ลูกจ้างก็ได้ค่าจ้างอยู่ที่ราว 300 บาทต่อวันอยู่แล้ว ส่วนจังหวัดที่ไม่ได้เป็นจังหวัดนำร่อง ก็น่าจะไม่พอใจในแนวทางดังกล่าว ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ จึงอยากให้นำแนวทางดังกล่าวไปเสนอต่อบอร์ดค่าจ้าง เพื่อให้ทำการพิจารณาก่อน แต่โดยส่วนตัวอยากให้รัฐบาลทำตามที่ได้หาเสียงเอาไว้ โดยปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาท พร้อมกันทั้งประเทศ
นายอรรถยุทธ ลียะวณิช เลขาธิการสภาองค์การนายจ้าง ผู้ค้าและบริการเครื่องอุปโภคบริโภค ให้ความเห็นว่าอยากให้รัฐบาลพิจารณาขึ้นค่าจ้างจากกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้ ไม่ใช่มากดดันให้คณะกรรมการ (บอร์ด) ค่าจ้างกลางพิจารณาปรับขึ้นตามนโยบายหาเสียง และขอวิงวอนให้รัฐบาลอย่าแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการไตรภาคี ที่มีหน้าที่ในการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้าง โดยปล่อยให้ได้ทำงานอย่างมีอิสระ
วันนี้ (1 ก.ย.) จากกรณีที่ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (รมว.รง.) มีนโยบายเตรียมจะนำร่องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ใน 7 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม นนทบุรี และ ภูเก็ต นั้น นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับกับแนวทางดังกล่าว เพราะรัฐบาลได้หาเสียงไว้ว่าจะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท ทุกจังหวัดพร้อมกันทั่วประเทศ จึงอยากให้รัฐบาลดำเนินการปรับขึ้นค่าจ้างตามที่ได้หาเสียงไว้ เนื่องจากขณะนี้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคได้มีการปรับขึ้นนำค่าจ้างขั้นต่ำไปแล้ว ทำให้แรงงานมีค่าครองชีพสูงขึ้น
นายมนัส กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กลุ่มแรงงานได้ขอเข้าพบ รมว.แรงงาน ในวันที่ 2 ก.ย.นี้ เพื่อขอหารือในเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ และการดูแลแรงงาน เช่น การพัฒนาระบบประกันสังคม แต่ รมว.แรงงานยังไม่ให้เข้าพบ อย่างไรก็ตาม สภาองค์กรลุกจ้าง จะร่วมกับคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) แถลงข่าวในวันที่ 5 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น.ที่โรงแรมบางกอกพาเลซ กทม.โดยมี รมว.แรงงาน ร่วมแถลงข่าวด้วย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท พร้อมกันทั่วประเทศ โดยอยากให้ปรับในช่วงเดือน ต.ค.นี้ พร้อมกับกลุ่มข้าราชการและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ
ด้านนายนคร สุทธิประวัติ ประธานสภาองค์การลูกจ้าง สภาแรงงานอิสระแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าจ้างเป็น 300 บาท ตามแนวทางที่ รมว.แรงงาน เสนอ คงไม่เกิดผลประโยชน์อะไรกับลูกจ้างมากนัก เนื่องจากใน 7 จังหวัดที่กล่าวว่าจะปรับเป็นการนำร่องนั้น ลูกจ้างก็ได้ค่าจ้างอยู่ที่ราว 300 บาทต่อวันอยู่แล้ว ส่วนจังหวัดที่ไม่ได้เป็นจังหวัดนำร่อง ก็น่าจะไม่พอใจในแนวทางดังกล่าว ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ จึงอยากให้นำแนวทางดังกล่าวไปเสนอต่อบอร์ดค่าจ้าง เพื่อให้ทำการพิจารณาก่อน แต่โดยส่วนตัวอยากให้รัฐบาลทำตามที่ได้หาเสียงเอาไว้ โดยปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาท พร้อมกันทั้งประเทศ
นายอรรถยุทธ ลียะวณิช เลขาธิการสภาองค์การนายจ้าง ผู้ค้าและบริการเครื่องอุปโภคบริโภค ให้ความเห็นว่าอยากให้รัฐบาลพิจารณาขึ้นค่าจ้างจากกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้ ไม่ใช่มากดดันให้คณะกรรมการ (บอร์ด) ค่าจ้างกลางพิจารณาปรับขึ้นตามนโยบายหาเสียง และขอวิงวอนให้รัฐบาลอย่าแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการไตรภาคี ที่มีหน้าที่ในการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้าง โดยปล่อยให้ได้ทำงานอย่างมีอิสระ