อย.เดินหน้าแก้ปัญหาคนไทยขาดสารไอโอดีนอย่างไม่หยุดยั้ง หลังจับมือ สจล.พัฒนาเครื่องผสมเกลือบริโภคเสริมไอโอดีนเป็นผลสำเร็จ ล่าสุดขอสนับสนุนงบประมาณจาก สปสช.จัดซื้อสารโพแทสเซียม ไอโอเดต จำหน่ายในราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบการเกลือบริโภค น้ำปลา น้ำเกลือปรุงอาหาร และผลิตภัณฑ์ปรุงรสที่ได้จากการย่อยโปรตีนของถั่วเหลือง ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าคนไทยไม่เป็นโรคขาดสารไอโอดีน
นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า จากภาวะการณ์ขาดสารไอโอดีนของคนไทย รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติในการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนในประเทศไทย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เร่งผลักดันนโยบายที่ต้องการให้คนไทยไม่ขาดสารไอโอดีน โดยออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขจำนวน 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ 4 ประเภท ได้แก่ เกลือบริโภค น้ำปลา น้ำเกลือปรุงอาหาร และผลิตภัณฑ์ปรุงรสที่ได้จากการย่อยโปรตีนของถั่วเหลือง ต้องเสริมไอโอดีนในปริมาณที่กฎหมายกำหนด ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในฐานะหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีหน้าที่ในการคุ้มครองผู้บริโภค ได้เดินหน้ามาตรการแก้ปัญหาคนไทยขาดสารไอโอดีนอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา อย.ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ในการพัฒนาเครื่องผสมเกลือบริโภคเสริมไอโอดีนขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตเกลือบริโภคที่มีคุณภาพมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด
ทั้งนี้ การผลิตเครื่องดังกล่าว อย.ได้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลจำนวน 32,430,000 บาท ซึ่งทุนนี้จะถูกจัดสรรเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการผลิตเครื่องผสมเกลือบริโภคเสริมไอโอดีนให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นจำนวน 50% ของราคาเครื่อง เพื่อช่วยลดภาระทางการเงิน และเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กได้ปรับปรุงและพัฒนาการผลิตโดยใช้เทคโนโลยี ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
เลขาธิการฯ อย.กล่าวต่อว่า สำหรับในก้าวต่อไป อย.ได้ผนึกกำลังกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ในการสนับสนุนสารโพแทสเซียมไอโอเดตแก่ผู้ประกอบการเกลือบริโภค น้ำปลา น้ำเกลือปรุงอาหาร และผลิตภัณฑ์ปรุงรสที่ได้จากการย่อยโปรตีนของถั่วเหลือง ซึ่ง อย. ได้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก สปสช. เพื่อมอบให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้จัดหา และจำหน่ายโพแทสเซียมไอโอเดตในราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 ประเภท ในส่วนภูมิภาค โดยคาดว่าจะดำเนินการได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นการช่วยลดภาระในการจัดหาวัตถุดิบให้แก่ผู้ประกอบการทุกระดับ ทั้งนี้ การดำเนินการของ อย.ดังที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่มุ่งหวังให้ผู้บริโภคทุกครัวเรือนได้รับไอโอดีนอย่างทั่วถึงและยั่งยืน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการขาดสารไอโอดีนในประเทศไทยได้ในที่สุด
นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า จากภาวะการณ์ขาดสารไอโอดีนของคนไทย รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติในการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนในประเทศไทย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เร่งผลักดันนโยบายที่ต้องการให้คนไทยไม่ขาดสารไอโอดีน โดยออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขจำนวน 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ 4 ประเภท ได้แก่ เกลือบริโภค น้ำปลา น้ำเกลือปรุงอาหาร และผลิตภัณฑ์ปรุงรสที่ได้จากการย่อยโปรตีนของถั่วเหลือง ต้องเสริมไอโอดีนในปริมาณที่กฎหมายกำหนด ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในฐานะหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีหน้าที่ในการคุ้มครองผู้บริโภค ได้เดินหน้ามาตรการแก้ปัญหาคนไทยขาดสารไอโอดีนอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา อย.ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ในการพัฒนาเครื่องผสมเกลือบริโภคเสริมไอโอดีนขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตเกลือบริโภคที่มีคุณภาพมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด
ทั้งนี้ การผลิตเครื่องดังกล่าว อย.ได้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลจำนวน 32,430,000 บาท ซึ่งทุนนี้จะถูกจัดสรรเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการผลิตเครื่องผสมเกลือบริโภคเสริมไอโอดีนให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นจำนวน 50% ของราคาเครื่อง เพื่อช่วยลดภาระทางการเงิน และเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กได้ปรับปรุงและพัฒนาการผลิตโดยใช้เทคโนโลยี ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
เลขาธิการฯ อย.กล่าวต่อว่า สำหรับในก้าวต่อไป อย.ได้ผนึกกำลังกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ในการสนับสนุนสารโพแทสเซียมไอโอเดตแก่ผู้ประกอบการเกลือบริโภค น้ำปลา น้ำเกลือปรุงอาหาร และผลิตภัณฑ์ปรุงรสที่ได้จากการย่อยโปรตีนของถั่วเหลือง ซึ่ง อย. ได้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก สปสช. เพื่อมอบให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้จัดหา และจำหน่ายโพแทสเซียมไอโอเดตในราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 ประเภท ในส่วนภูมิภาค โดยคาดว่าจะดำเนินการได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นการช่วยลดภาระในการจัดหาวัตถุดิบให้แก่ผู้ประกอบการทุกระดับ ทั้งนี้ การดำเนินการของ อย.ดังที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่มุ่งหวังให้ผู้บริโภคทุกครัวเรือนได้รับไอโอดีนอย่างทั่วถึงและยั่งยืน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการขาดสารไอโอดีนในประเทศไทยได้ในที่สุด
