โดย...สุกัญญา แสงงาม
ในที่สุด“นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์” ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ก็ตัดสินใจลาออกจากราชการ หลังจากวงในมีข่าวซุบซิบเตรียมที่จะลาออกเพื่อเล่นการเมืองมาสักระยะแล้ว จนกระทั่งเมื่อวันที่ 19 เม.ย.จึงประกาศลาออกจากราชการอย่างเป็นทางการ
นายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ ที่วันนี้เป็นอดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดใจให้สัมภาษณ์ถึงการเบนเข็มสู่เวทีการเมืองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ว่า ตั้งใจลาออกจากราชการก่อนเกษียณเพื่อก้าวสู่ถนนสายการเมือง ซึ่งในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ จะเป็นวันครบรอบปีที่ 41 ของการรับราชการ โดยเข้ารับราชการมาตั้งแต่ปี 2513 เริ่มตั้งแต่ครูจัตวา หรือครูตัวเล็กๆ จนถึงเก้าอี้สูงสุด “ปลัดกระทรวง” ขณะนี้ถือว่ารับราชการมาเพียงพอแล้ว ชีวิตต้องมีความพอเพียง อยากพักผ่อน และตื่นสายบ้าง
นายเฉลียว บอกว่า สนใจด้านการเมืองตั้งแต่เด็กๆ เคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2526 ตัดสินลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเมื่อปี 2546 เพิ่งกลับมาสมัครใหม่ในปี 2553 ตั้งใจก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองหลังลงจากเก้าอี้ปลัดกระทรวง ซึ่งเกิดจากการชักชวนของ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต้องการให้มาช่วยขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาที่ยังค้างอยู่ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) รวมถึงให้ช่วยประสานระหว่างการเมือง และข้าราชการประจำที่จะนำนโยบายของพรรคไปสู่การปฏิบัติให้ลุล่วงและมีประสิทธิผล ทำให้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพประชาชน และทำให้การศึกษาเป็นเครื่องมือสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประเทศชาติ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ผมคิดว่าการตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินโดยการทำความดีเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่
“แม้ว่าวันนี้ผมจะไม่ได้รับราชการแล้ว แต่ก็สามารถตอบแทนบุญคุณแผ่นดินได้ การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราสร้างเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติให้เข้มแข็ง ให้เยาวชนมีความรู้ความสามารถ มีทักษะ มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ แค่นี้ก็ถือว่าตอบแทนบุญคุณแล้ว” นายเฉลียว กล่าว
นายเฉลียว บอกถึงแนวทางการการทำงาน ว่า ขณะนี้ รมว.ศธ.ให้ช่วยดูนโยบายด้านการศึกษา ซึ่งตนจะนำประสบการที่สั่งสมมากว่า 40 ปี ที่ได้เห็นจุดเด่น จุดด้อย ของการศึกษาไทย มาขับเคลื่อนนโยบายปฏิรูปการศึกษา โดยเฉพาะพัฒนาครู นักเรียน ไปพร้อมๆ กันดึงชุมชน องค์กรเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาการศึกษา กองทุนครู และ สสค.
“ตอนนี้กำลังทำการบ้านว่า การศึกษา พรรคประชาธิปัตย์ ควรจะขับเคลื่อนด้านไหนบ้าง เพื่อเสนอพรรคต่อไป ซึ่งการดำเนินนโยบายด้านการศึกษา ไม่ใช่ผมคนเดียว จะทำเป็นทีมซึ่งทางพรรคเขามีอยู่แล้ว เพียงแต่เข้าไปเสริมแล้วเท่านั้น หากได้เข้ามาเป็นรัฐบาล จะได้สานต่อนโยบายของรัฐบาล” นายเฉลียว กล่าว
นายเฉลียว ยังแสดงความเห็นด้วยว่า นโยบายการศึกษาจะก้าวไปข้างหน้า ช้าหรือเร็ว ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับนักการเมืองหนุนด้วย และช่วงที่รับราชการนักการเมืองสนับสนุนนโยบาย ก็จะเห็นได้ว่า มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น อย่าง กองทุนครู ตนก็พยายามดันจนประสบความสำเร็จ แต่จะต้องเข้าไปสานต่อว่าจะเดินต่ออย่างไรด้วย
อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น ว่า แม้ว่าวันนี้ตนจะไม่ได้รับราชการแล้ว ยังเชื่อว่า เพื่อนครูไม่มากก็น้อยจะสนับสนุนตน รวมพลังกันพัฒนาการศึกษาไทยต่อไป