สบช.ปรับวิธีรับตรง นศ.พยาบาล ชี้ เปิดโอกาสให้เลือกพื้นที่ลงปฏิบัติงาน เป็นรายอำเภอ เชื่อช่วยแก้ปัญหาพยาบาลขาดแคลน ระบุ สธ.มีนโยบายให้ สบช.ผลิตพยาบาลปีละ 2,500 คน และจะมีงบประมาณสนับสนุนค่าใช้จ่ายรายหัว 28,800 บาท ต่อคนต่อปี
นพ.สมควร หาญพัฒนชัยกูร ผู้อำนวยการสถาบันพระบรมราชชนก (สบช.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า เมื่อช่วงเดือน ธ.ค.2553 ที่ผ่านมา ทาง สบช.ได้ดำเนินการรับสมัครนักศึกษาพยาบาลด้วยวิธีการเปิดรับตรง จำนวน 1,000 คน ซึ่งในปีนี้ถือเป็นปีแรกที่ทาง สบช.จะให้นักศึกษาที่เข้ามาสมัครรับตรงจะต้องเลือกพื้นที่ในการจะไปเป็นพยาบาล ต่อไปในอนาคตด้วย โดยทาง สบช.จะมีการคัดเลือกพื้นที่ที่มีอัตราการขาดแคลนพยาบาลสูงมาให้นักศึกษาเลือก โดยจะมีการให้เลือกแบบเป็นรายอำเภอ และรายจังหวัด ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากมีอัตราการขาดแคลนพยาบาลสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ ทั้งนี้ การที่ สบช.มีแนวทางการรับตรงในลักษณะดังกล่าว เพื่อต้องการแก้ปัญหาพยาบาลขาดแคลนในพื้นที่ต่างๆ จึงทดลองนำวิธีรับตรงในลักษณะที่กำหนดพื้นที่ในการปฏิบัติงานหลังจากจบการศึกษามาใช้ปีนี้เป็นปีแรก และหากพบว่าได้ผลดีก็จะมีการนำไปใช้ในปีต่อๆ ไปด้วย ทั้งนี้ ในแต่ละปีทาง สบช.จะรับสมัครนักศึกษาปีละ 2,500 คน จะจัดสรรโควต้าสำหรับการรับตรง 1,000 คน ส่วนที่เหลืออีก 1,500 คน จะใช้วิธีการรับสมัครตามปกติ โดยขณะนี้ได้เริ่มรับสมัครแล้วจนถึงวันที่ 18 เม.ย.นี้
นพ.สมควร กล่าวต่อไปว่า สธ.มีนโยบายให้ สบช.ผลิตพยาบาลปีละ 2,500 คน และจะมีงบประมาณสนับสนุนค่าใช้จ่ายรายหัว 28,800 บาท ต่อคนต่อปี ซึ่งทาง สบช.ได้เริ่มดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวมาแล้ว 6 ปี และในเร็วๆนี้จะทำเรื่องเสนอกระทรวงสาธารณสุขเพื่อของบประมาณสนับสนุนในการ ผลิตบุคลากรประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) จำนวนประมาณ 2,750 คน ต่อปี แบ่งเป็นสาขาทันตสาธารณสุข ประมาณ 600 คน นักวิชาการสาธารณสุข ประมาณ 700 คน และพยาบาล 350คน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างแผนเสนอไปยังนพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อพิจารณาต่อไป
“ในส่วนของพยาบาลจากโครงการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่ม เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพยาบาลในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 3,000 คน ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาควม.2550 นั้นขณะนี้โครงการดังกล่าว มีผู้สำเร็จการศึกษาแล้วเมื่อเดือน มีนาคม ที่ผ่านมา รวมทั้งหมด 2,848 คน จะ เริ่มปฏิบัติงานในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดสรรสถานที่ปฏิบัติงานตามภูมิลำเนาและตามความขาด แคลนบุคลากร” นพ.สมควร กล่าว