xs
xsm
sm
md
lg

สับ “แดงถ่อย” บัญญัติศัพท์ “อำมาตย์” เพี้ยน! ฝังหัวสาวกโค่นสูงกว่าองคมนตรี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นักภาษาศาสตร์ สับ “แดงถ่อย” บัญญัติศัพท์ “อำมาตย์” - “อมาตยาธิปไตย” เพี้ยนจากเดิม พุ่งเป้าโจมตีสูงกว่าองคมนตรี ปลุกกระแสรุนแรงใช้คำว่า “ไพร่” เรียกสาวก เป่าหูโดนกดขี่ ข่มเหง จากศักดินา สอนมวยตั้งธงล้มองคมนตรี เขียนไปเลย “โค่นองคมนตรี” แต่ฝังหัวแดงทั้งฝูงว่า “โค่นอำมาตย์” สื่อถึงใคร..? เย้ยเลือดแดงชั่วสูญเปล่า แค่แผนไร้สติปัญญา แนะรัฐบาลอดทน ไม่นานแดงฝ่อเอง เชื่อพลังเงียบไม่เอาด้วยแล้ว

วานนี้ (17 มี.ค.) ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงความหมายของการใช้คำว่า “อำมาตย์” และ “ไพร่” ที่ถูกนำไปใช้ในเวทีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า คำว่า “อำมาตย์” หรือ “อมาตย์” มีที่มาจากภาษาสันสกฤต ตัวเดิมคือ “อมา” ที่แปลว่า บ้าน ซึ่งคำว่า “อมาตฺย” แปลว่า ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้าน (ของพระราชา) จึงแปลความหมายว่า เพื่อน, คนสนิท, ที่ปรึกษา ของพระราชา ซึ่งในภาษาไทยนำมาใช้เรียกขุนนาง ซึ่งเป็นผู้ที่ถวายความคิด ที่ปรึกษาแก่พระราชา ให้ทรงมีพระราชวินิจฉัย ทั้งนี้ สมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการนำคำว่า อำมาตย์ มาใช้เรียกข้าราชการ พลเรือน และคำว่า “อมาตยาธิปไตย” จึงแปลว่า อำนาจซึ่งไม่ได้อยู่ในมือของประชาชน แต่อยู่ในมือของข้าราชการ ขุนนาง นั่นเอง

ส่วนคำว่า “ไพร่” หมายถึง ประชาชน ซึ่งในสังคมเดิมไพร่นั้น ใช้กับบริบทสังคมของศักดินา มีชนชั้นการปกครองอยู่เบื้องบน แต่อย่างไรก็ตาม ไพร่ได้สูญหายไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการประกาศยกเลิกระบอบศักดินาไพร่ มาเป็นประชาชน ดังนั้น ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ไม่มีไพร่อีกแล้ว ซึ่งปัจจุบันก็มีการนำมาใช้ในความหมายที่ตรงข้ามกับคำว่า “ผู้ดี” เท่านั้น
ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล
ดร.อนันต์กล่าวต่อว่า คำว่า อำมาตย์ และอมาตยาธิปไตยนั้น ขณะนี้ทางกลุ่มคนเสื้อแดงได้กำหนดความหมายใหม่ขึ้นมา โดยอำมาตย์นั้นพุ่งไปที่ความหมายของ “องคมนตรี” ดังนั้น อมาตยาธิปไตยตามความหมายของคนเสื้อแดง จึงหมายถึง อำนาจที่อยู่ในหมู่องคมนตรี และคำว่าไพร่ ที่กลุ่มเสื้อแดงนำมาใช้ก็เพื่อการปลุกระดมให้นึกถึงสังคมเดิม ที่ต้องการยืนยันว่าระบบไพร่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น สิ่งที่กลุ่มเสื้อแดงต้องการจะเชื่อมโยง คือ อำมาตย์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของพระราชา แต่ในความหมายเดียวกันก็หมายถึงบุคคลที่อยู่เหนือกว่าองคมนตรี และที่กลุ่มเสื้อแดงพูดว่า “โค่นอำมาตย์ เพื่อปลดแอกไพร่” นั้นเป็นที่รู้กันว่าสิ่งที่กลุ่มเสื้อแดงพุ่งที่จะโจมตีนั้นไม่ใช่องคมนตรี แต่เหนือกว่านั้น

“เมื่อมีอำมาตย์ ก็ทำให้คิดได้ว่าไพร่ยังมีอยู่ ซึ่งกลุ่มเสื้อแดงพูดอยู่เสมอว่าต้องการโค่นองคมนตรีที่บอกว่าอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง แล้วทำไมถึงไม่เขียนข้อความหลังเวที และสิ่งที่ฝังในหัวสมองของกลุ่มผู้ชุมนุมว่าโค่นองคมนตรีไปเลย แต่กลับเขียนว่าโค่นอำมาตย์ และเมื่อไม่มีไพร่แล้ว มีแต่ประชาชน ทำไมจึงไม่ตั้งธงว่า ประชาชนโค่นองคมนตรี แต่กลับตั้งธงว่าไพร่โค่นอำมาตย์ สิ่งนี้แกนนำคนเสื้อแดงรู้อยู่แก่ใจว่าต้องการสื่อหมายถึงใคร ซึ่งการนำคำว่าไพร่มาใช้เรียกแทนกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นก็เหมือนการปลุกระดมให้รุนแรงขึ้น ว่าการเป็นไพร่คือการโดนกดขี่ ข่มเหง ไม่มีสิทธิใดๆ ในระบอบการปกครอง ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น” ดร.อนันต์ กล่าว

ดร.อนันต์ กล่าวอีกว่า การจะใช้คำศัพท์เหล่านี้กลุ่มคนเสื้อแดงก็ต้องเข้าใจถึงประวัติศาสตร์ เข้าใจเจตนาของความหมาย ก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อ แต่ที่ผ่านมาไม่มีการทำความเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งทำให้กลุ่มเสื้อแดงตกเป็นเหยื่อ และไม่หลุดพ้นกับข้อครหาของสังคมที่ว่ากลุ่มเสื้อแดงอับจนสติปัญญา ถูกจูงให้มาร่วมชุมนุมประท้วง ซึ่งเรื่องนี้จะไม่สามารถลบข้อครหาดังกล่าวได้เลย กลุ่มเสื้อแดงไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริง โดยเฉพาะคุณทักษิณ ชินวัตร เสื้อแดงตัวพ่อ และแกนนำทุกคน การจะกำหนดแนวทางการชุมนุมว่าเพื่อประชาธิปไตยนั้น ถือว่าเข้าใจผิด เพราะปัจจุบันประเทศไทยก็มีระบอบประชาธิปไตย มีรัฐสภา โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ที่ต้องการเรียกร้องประชาธิปไตยอีกนั้นถามว่าต้องการประชาธิปไตยในรูปแบบไหนอีก นอกจากระบอบที่เป็นอยู่ ที่บอกว่าต้องการโค่นอำมาตย์ ก็เท่ากับว่า ปฏิเสธประชาธิปไตยรูปแบบปัจจุบันนั่นหมายความว่าอย่างไร

“สำหรับวาทกรรมของคุณทักษิณ ที่ผ่านมานั้น แสดงให้เห็นว่า คุณทักษิณเป็นคนคิดไว ปากไว ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่ไม่มีเวลานั่งคิด ตรึกตรอง ไม่ว่าจะเรื่องใด คิดเป็นเพียงอย่างเดียว คือ ทำอย่างไรก็ได้ที่ต้องการอำนาจ และเงินของตัวเองคืนกลับมา สิ่งที่คุณทักษิณ ทำจึงไม่คำนึงถึงผลกระทบของบ้านเมือง แต่มองแค่ผลประโยชน์ของตัวเองทั้งสิ้น ซึ่งแกนนำทุกคนต่างก็ต้องการสนองสิ่งที่คุณทักษิณคิด แต่เป็นการคิดที่ไร้ซึ่งอุดมการณ์ อย่างในกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงเจาะเลือดเพื่อนำไปเทตามที่ต่างๆ นั้น พอรู้ว่าแผนการนี้เป็นกระแสลบ สังคม ผู้คนไม่เอาด้วย สื่อไทยสื่อต่างประเทศก็โจมตีในทางลบ เมื่อแผนไร้ซึ่งเอกภาพ เลือดของคนเสื้อแดงก็สูญเปล่า ความยากลำบากที่มาชุมนุมก็สูญเปล่า กลุ่มคนเสื้อแดงจะไม่ได้อะไรเลยจากตรงนี้นอกจากเงินจูงใจการชุมนุม และหายนะของประเทศ นอกจากนี้ ในคนเสื้อแดงบางกลุ่มที่หวังโค่นล้มสถาบันบางสถาบัน ก็ได้แต่ฝันลมๆ แล้งๆ และจะไม่สามารถเป็นจริงได้เลย” ดร.อนันต์ กล่าว

ดร.อนันต์ กล่าวอีกว่า หากมองแค่ประวัติศาสตร์ระยะสั้นในช่วงปีที่ผ่านมานั้น จะพบว่า ไม่เคยมีบันทึกไว้เลย ว่า รัฐบาลปัจจุบันใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม แต่สิ่งที่บันทึกได้ คือ กลุ่มคนเสื้อแดงเองที่ใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา และเหตุการณ์ในช่วงเดือนเมษายน แต่สิ่งที่กลุ่มเสื้อแดงออกมาเรียกร้องไม่ให้รัฐบาลใช้ความรุนแรงนั้น จริงๆ แล้วน่าจะบอกตัวเองมากกว่า รัฐบาลปัจจุบันถือว่ามีความอดทนสูง จึงทำให้วันนี้เสื้อแดงจะมีแต่อ่อนลง แต่การอ่อนลงนี้ก็ต้องจับตาอย่างหนักในส่วนของการสร้างสถานการณ์รุนแรงต่างๆ ให้เกิดขึ้น ซึ่งตรงนี้รัฐบาลต้องรับมือให้ได้ และเมื่อย้อนไปดูประวัติศาสตร์ระยะสั้นที่กล่าวมาก็อาจมองได้ว่าความรุนแรงนั้นอาจไม่ได้เกิดขึ้นจากมือที่ 3 มือที่ 4 แต่เกิดจากใคร ก็ต้องดูว่าที่ผ่านมาความรุนแรงเกิดขึ้นจากใครก่อนเช่นกัน

ดร.อนันต์ กล่าวด้วยว่า นักวิชาการหลายคนต่างออกมาบอกว่า สถานการณ์การเมืองที่ตึงเครียดขนาดนี้ แต่พลังเงียบกลับเงียบหาย ไม่แสดงตน แต่การเงียบนี้เองแสดงให้เห็นถึงพลังการต่อต้านที่มหาศาล จะเห็นว่า ตั้งแต่การชุมนุมที่ผ่านมาเกือบ 1 สัปดาห์ การจราจรในกรุงเทพฯ โล่งผิดปกติ หากไม่นับพื้นที่ผู้ชุมนุมเคลื่อนผ่าน ในส่วนห้างร้าน ร้านค้าต่างๆ ก็ปิดตัวลง ผู้คนที่เคยเดินเที่ยว จับจ่ายใช้สอย ก็หายไปเกินครึ่ง สิ่งเหล่านี้เอง คือ สิ่งที่พลังเงียบโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่เอาด้วยกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง

กำลังโหลดความคิดเห็น