xs
xsm
sm
md
lg

แนะส่ง SMS แปลงความเครียดเป็นพลังป้องกันเหตุรุนแรง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กรมสุขภาพจิต-สมาคมจิตแพทย์ฯ เตือนประชาชนระวังโรคเครียดคุกคามโดยเฉพาะคนที่ติดตามข่าวสารแล้วเครียดมาก น่าเป็นห่วงสุด อาจถูกเร้าให้ทำการรุนแรงได้ทุกเมื่อ แนะส่งข้อความแสดงความห่วงใยบ้านเมือง เพื่อลดความเครียดความคับข้องใจ และแสดงจุดยืนไม่สนับสนุนผู้ใช้ความรุนแรง พร้อมเตรียมบุคลากรรองรับให้คำปรึกษาลดเครียด ผ่านสายด่วน 1323 จำนวน 31 คู่สายตลอด 24 ชั่วโมง


นพ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงผลสำรวจที่ระบุว่าประชาชนมีความเครียดจากการขัดแย้งทางการเมืองสูงกว่าร้อยละ 60 ของเอแบคโพลล์ว่า จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงสภาพจิตใจของประชาชนในปัจจุบันว่ามีความเครียดคุกคาม ทั้งนี้ จากสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ ความเครียดที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องปกติซึ่งอยากให้มองว่าถ้าเกิดความเครียดในระดับน้อยถือเป็นผลดีเป็นความเครียดที่มีประโยชน์ทำให้คนเราสนใจข้อมูลข่าวสาร มีการระมัดระวังตัวเอง และมีความเป็นห่วงเป็นใยสังคมมากขึ้น แต่กลุ่มที่ต้องระวังและน่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ กลุ่มคนที่มีความเครียดสูง ซึ่งย่อมส่งผลเสียต่อร่างกาย ทำให้ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ใจสั่น ใจเต้นเร็วผิดปกติ ยิ่งเครียดสะสมมากเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง แม้กระทั้งมะเร็ง ด้านจิตใจ ทำให้กระวนกระวายใจ ว้าวุ่นใจ หงุดหงิดง่าย ก้าวร้าว ฟุ้งซ่านและถ้ายิ่งเครียดมากเครียดนานอาจป่วยเป็นโรคซึมเศร้ารุนแรงถึงขั้นฆ่าตัวตายได้ ที่สำคัญนอกจากความเครียดจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อร่างกายและจิตใจตัวเองแล้ว คนที่มีความเครียดสูงจะกระทบกระทั้ง กับผู้อื่นได้ง่ายทั้งในระหว่างบุคคลโดยเฉพาะกับคนในครอบครัวและชุมชน หรือเมื่อไปร่วมชุมนุมย่อมจะถูกกระตุ้นต่อสถานการณ์ปลุกเร้าต่างๆได้ง่าย มีโอกาสสูงที่จะก่อความรุนแรงเกิดความสูญเสียตามมา จึงต้องระวังเป็นพิเศษ

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้แสดงความห่วงใยจิตใจของประชาชนต่อสถานการณ์การเมืองขณะนี้โดยได้มอบหมายให้กรมสุขภาพจิตช่วยลดความตระหนก ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นกับประชาชนโดยด่วน ซึ่งกรมสุขภาพจิตได้เตรียมพร้อมบุคลากรและการให้บริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมงผ่านสายด่วน 1323 จำนวน 31 คู่สาย และการให้บริการคลินิกคลายเครียดในหน่วยงานสังกัดกรมสุขภาพจิตทุกแห่ง
ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
ด้าน นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ นายกสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า เวลานี้คนไทยทุกคนไม่ว่าจะสวมเสื้อสีไหนก็ตาม จุดยืนสำคัญ คือ อยากให้บ้านเมืองสงบสุข ความเข้าอกเข้าใจ เห็นใจซึ่งกันและกัน จะทำให้เกิดการเปิดรับความเห็นที่แตกต่างกันได้ ทำให้มีจิตใจอ่อนโยนลง ไม่เกิดการอาฆาตมาดร้าย ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น ซึ่งถ้าเราผ่านวิกฤตเหตุการณ์นี้ได้ ประเทศไทยจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะการที่เรามีประชาชนจำนวนมากตื่นตัวทางการเมืองถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ เพราะในโลกนี้ไม่มีประเทศใดที่จะเจริญก้าวหน้าได้ ถ้าคนไม่ตื่นตัวทางการเมือง เพียงแต่เราต้องก้าวผ่านการใช้ความรุนแรงให้ได้ ซึ่งตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นบทเรียนราคาแพง สำหรับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้เกิดการเตรียมพร้อมรับมืออย่างระมัดระวังมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดการใช้ความรุนแรงที่จะนำมาซึ่งความสูญเสียต่อไป

ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิตและสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ได้เห็นพ้องต้องกันว่าการที่จะทำให้ไม่เกิดความรุนแรง ขึ้นได้ สิ่งสำคัญ ก็คือ การระมัดระวังไม่ให้เกิดความเครียดมากเกินไป และได้เสนอแนวทางที่จะช่วยลดความตึงเครียดจากสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ ดังนี้

1. ควรบริหารเวลาในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารบ้านเมืองอย่างเหมาะสม ไม่ทำให้เสียชีวิตครอบครัวการงาน และการพักผ่อน ซึ่งจะส่งผลให้เครียดมากขึ้น ควรเปิดใจกว้างรับข้อมูลข่าวสารให้รอบด้าน เพื่อให้มีแง่มุมที่เปิดกว้างมากขึ้น เพราะการที่เราเปิดใจกว้าง เห็นใจเพื่อนร่วมชาติที่ถึงแม้จะมีความเห็นต่างกับเราจะทำให้เราอยู่ร่วมกันได้ ไม่เกิดการใช้ความรุนแรง ขอให้เตือนตัวเองเสมอว่า ปรากฏการณ์ทางการเมืองมีความขัดแย้งเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา ประชาธิปไตยต้องมีพื้นที่ของความแตกต่าง ไม่มีใครคิดเหมือนกันทั้งหมด ผู้ที่มีความเห็นต่างไม่ใช่ศัตรูที่ต้องเอาชนะ

2. ควรรวมพลังประกาศจุดยืน แสดงความห่วงใยบ้านเมือง ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง ซึ่งอาจทำได้โดยร่วมกันส่งข้อความแสดงเจตจำนงต้องการให้เหตุการณ์ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีโดยไม่ใช้ความรุนแรงผ่านสื่อช่องทางต่างๆอาทิ การส่ง SMS หรือการโพสต์ผ่านเว็บไซต์ช่องทางต่างๆ เป็นต้น รวมทั้งการเรียกร้องให้องค์กรของตนเองไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจ องค์กรวิชาชีพ องค์กรสื่อ องค์กรด้านสังคม และภาคส่วนต่าง ๆ แสดงจุดยืนไม่ใช้ความรุนแรงทั้งนี้ การที่เราได้ทำสิ่งใดอย่างหนึ่งเพื่อที่จะทำให้สังคมดีขึ้น ถึงแม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อยแต่เมื่อรวมกันจำนวนมาก ก็ย่อมจะเป็นผลดีต่อบ้านเมือง และเป็นการช่วยลดความเครียดความคับข้องใจที่มีอยู่ในตัวบุคคลได้เป็นอย่างดี ถือเป็นการแปลงความเครียดวิตกกังวลให้เป็นพลังสร้างสรรค์สังคม ทั้งนี้ ยังเป็นการช่วยเตือนใครก็ตามที่คิดจะใช้ความรุนแรงให้คิดหนักมากขึ้น เพราะทุกฝ่ายย่อมต้องการพลังประชาชนสนับสนุน แต่ถ้าประชาชนแสดงพลังร่วมกันไม่ต้องการเห็นความรุนแรง ผู้ที่ใช้ความรุนแรงย่อมเสียเปรียบและไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนแน่นอน

3. ส่วนประชาชนที่ร่วมชุมนุมและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม หากมีความเครียดหรือวิตกกังวลควรแปลงความวิตกกังวลเป็นการระมัดระวังและร่วมกันหาทางออกให้กับตนเองและชุมชนอย่างมีความรับผิดชอบร่วมกัน โดยการนำทักษะความอดทนที่ทุกคนมีอยู่และได้นำมาใช้เป็นอย่างดีตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นหากทุกท่านนำประสบการณ์ทีผ่านมาเป็นบทเรียนก็จะสามารถก้าวผ่านอุปสรรค์ต่าง ๆ ที่คลี่คลายได้

4. หากมีความเครียดสูงสามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่ สายด่วน 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือขอรับบริการปรึกษาได้ที่หน่วยงานสังกัดกรมสุขภาพจิตทั่วประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น