แพทย์เผยสภาพรางกาย-จิตใจ “น้องมินท์” ดีขึ้น พร้อมให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ขณะที่ทีมสหวิชาชีพเตรียมเข้าสอบปากคำวันนี้ ด้านโรงพยาบาลสั่งงดเยี่ยมเกรงมีคำถามกระทบจิตใจ
นพ.วิทยา วันเพ็ญ จิตแพทย์ประจำ โรงพยาบาลพระราม 9 แพทย์เจ้าของไข้ ด.ญ.พิชยา จงงามวิไล หรือน้องมินท์ พยานสำคัญในคดีฆ่าแม่และหั่นศพน้องชายวัย 5 ขวบ กล่าวถึงสภาพจิตของน้องมินท์ว่า ขณะนี้กลับคืนสู่สภาวะปกติร้อยละ 70-80 คือไม่มีภาวะซึมเศร้า นอนไม่หลับ โดยแพทย์ใช้วิธีการรักษาด้วยการสร้างสัมพันธภาพให้ผ่อนคลาย แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าสุขภาพจิตจะไม่แย่ไปกว่านี้ เพราะเป็นอาการโดยทั่วไปของผู้ที่ผ่านเหตุการณ์ร้าย หากหลังจากนี้มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ อาจจะทำให้คนไข้ไม่ดีขึ้นได้
นพ.วิทยา กล่าวว่า สำหรับเบื้องต้น แพทย์วินิจฉัยว่า น้องมินท์พร้อมที่จะให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แล้ว โดยภายในห้องพัก น้องมินท์มีโอกาสได้ดูข่าวทางทีวี และแพทย์สังเกตว่าน้องมินท์ฟังข่าว และพยายามบอกกับคนใกล้ชิดว่า เมื่อดูข่าวที่นำเสนอแล้วไม่ถูกต้อง แต่โดยรวมแล้วไม่มีอาการน่าเป็นห่วง ทั้งนี้ โรงพยาบาลได้ประสานงานใกล้ชิดกับกรมสุขภาพจิต สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ น่าจะได้รับช่วงดูแลน้องมินท์ต่อ แต่ต้องขึ้นกับเจ้าของคดีด้วยว่าจะตัดสินใจอย่างไร ส่วนน้องมินท์ควรจะอยู่กับคนที่ไว้ใจได้หลังจากออกจาก รพ.
ด้าน นพ.ไพรัช เจาฑะเกษตริน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ รพ.พระราม 9 กล่าวถึงอาการน้องมินท์หลังผ่าตัดว่า โดยทั่วไปดีขึ้นไม่มีอาการไข้ ยังเป็นห่วงข้อศอกซ้ายที่กระดูกแตกแต่ไม่หนัก อาการโดยรวมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้ดูแลความปลอดภัยของน้องมินท์อย่างเข้มงวดไม่ให้มีการเข้าเยี่ยม เพราะเกรงว่าจะมีการถามคำถามที่กระทบจิตใจ อีกทั้งน้องมินท์ยังเป็นพยานสำคัญของคดี ซึ่งเป็นมาตรการปกป้องพยาน และที่โรงพยาบาลมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบคอยดูแลความปลอดภัย ส่วนช่วงบ่ายวันนี้มีการติดต่อมาจากสหวิชาชีพ ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่ ตำรวจ และนักจิตวิทยา จะเข้ามาสอบปากคำน้องมินท์ แต่ยังไม่ยืนยันว่าเป็นช่วงเวลาใด โดยทางแพทย์เจ้าของไข้น้องมินท์ระบุว่าน้องมินท์พร้อมให้ปากคำแล้ว แต่แพทย์ต้องขอคุยกับเจ้าที่ตำรวจก่อนให้ปากคำ
นพ.วิทยา วันเพ็ญ จิตแพทย์ประจำ โรงพยาบาลพระราม 9 แพทย์เจ้าของไข้ ด.ญ.พิชยา จงงามวิไล หรือน้องมินท์ พยานสำคัญในคดีฆ่าแม่และหั่นศพน้องชายวัย 5 ขวบ กล่าวถึงสภาพจิตของน้องมินท์ว่า ขณะนี้กลับคืนสู่สภาวะปกติร้อยละ 70-80 คือไม่มีภาวะซึมเศร้า นอนไม่หลับ โดยแพทย์ใช้วิธีการรักษาด้วยการสร้างสัมพันธภาพให้ผ่อนคลาย แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าสุขภาพจิตจะไม่แย่ไปกว่านี้ เพราะเป็นอาการโดยทั่วไปของผู้ที่ผ่านเหตุการณ์ร้าย หากหลังจากนี้มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ อาจจะทำให้คนไข้ไม่ดีขึ้นได้
นพ.วิทยา กล่าวว่า สำหรับเบื้องต้น แพทย์วินิจฉัยว่า น้องมินท์พร้อมที่จะให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แล้ว โดยภายในห้องพัก น้องมินท์มีโอกาสได้ดูข่าวทางทีวี และแพทย์สังเกตว่าน้องมินท์ฟังข่าว และพยายามบอกกับคนใกล้ชิดว่า เมื่อดูข่าวที่นำเสนอแล้วไม่ถูกต้อง แต่โดยรวมแล้วไม่มีอาการน่าเป็นห่วง ทั้งนี้ โรงพยาบาลได้ประสานงานใกล้ชิดกับกรมสุขภาพจิต สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ น่าจะได้รับช่วงดูแลน้องมินท์ต่อ แต่ต้องขึ้นกับเจ้าของคดีด้วยว่าจะตัดสินใจอย่างไร ส่วนน้องมินท์ควรจะอยู่กับคนที่ไว้ใจได้หลังจากออกจาก รพ.
ด้าน นพ.ไพรัช เจาฑะเกษตริน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ รพ.พระราม 9 กล่าวถึงอาการน้องมินท์หลังผ่าตัดว่า โดยทั่วไปดีขึ้นไม่มีอาการไข้ ยังเป็นห่วงข้อศอกซ้ายที่กระดูกแตกแต่ไม่หนัก อาการโดยรวมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้ดูแลความปลอดภัยของน้องมินท์อย่างเข้มงวดไม่ให้มีการเข้าเยี่ยม เพราะเกรงว่าจะมีการถามคำถามที่กระทบจิตใจ อีกทั้งน้องมินท์ยังเป็นพยานสำคัญของคดี ซึ่งเป็นมาตรการปกป้องพยาน และที่โรงพยาบาลมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบคอยดูแลความปลอดภัย ส่วนช่วงบ่ายวันนี้มีการติดต่อมาจากสหวิชาชีพ ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่ ตำรวจ และนักจิตวิทยา จะเข้ามาสอบปากคำน้องมินท์ แต่ยังไม่ยืนยันว่าเป็นช่วงเวลาใด โดยทางแพทย์เจ้าของไข้น้องมินท์ระบุว่าน้องมินท์พร้อมให้ปากคำแล้ว แต่แพทย์ต้องขอคุยกับเจ้าที่ตำรวจก่อนให้ปากคำ