xs
xsm
sm
md
lg

วิชา “เทพประสิทธิ์” ศาสตร์พิชิตโรค!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พ.อ.ณรงค์ชัยขณะใช้วิชาเทพประสิทธิ์ช่วยเหลือคนไข้
“หากไอน์สไตน์บอกว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ ผมก็เชื่อว่า วิชาเทพประสิทธิ์ก็เป็นการรักษาแบบวิทยาศาสตร์” ประโยคอันมั่นอกมั่นใจนี้ออกมาจากปากของนายทหารหนุ่มใหญ่ผู้มีอีกด้านหนึ่งที่ใช้สองมือของเขาช่วยรักษาโรคให้แก่เพื่อนมนุษย์ผู้เจ็บป่วย ด้วยวิชาโบราณที่ได้รับการประสิทธิ์ประสาทมาจาก “ครูชุม” หมอนวดจับเส้นชื่อดังที่สุดในเมืองปราจีณฯ ผู้ล่วงลับ

พ.อ.ณรงค์ชัย กิ่งเกตุ นายทหารประจำ บก.ทบ.ผู้สืบทอดวิชานี้ได้สาธิตวิธีการรักษาโรคแบบเทพประสิทธิ์ ซึ่งหากดูเผินๆ หลายคนอาจจะเข้าใจผิด เพราะกรรมวิธีคล้ายกับการนวดหรือการจับเส้น แต่จริงๆ แล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะจริงๆ แก่นแท้แล้วหลักการของเทพประสิทธิ์ก็คือการใช้หลักพุทธศาสนามารักษาโรค

***“เทพประสิทธิ์” วิทย์พิสูจน์ได้
“ผมจึงบอกว่าวิชานี้เป็นวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ด้วย โบราณว่าเป็นวิชาที่ใช้รักษาโรคที่รักษาไม่หายวิชาเทพประสิทธิ์มีหลักการรักษามาจากการนำแนวการรักษาทางพุทธอย่างโพฌชงค์ 7 มาประยุกต์เป็นวิชาแพทย์ แล้วนำมาปรับใช้เพื่อรักษาโรค วิชานี้เป็นวิชามีครู คนรักษาต้องเจริญสติปัฏฐาน ทำจิตให้ว่าง จดจ่อแค่ลมหายใจ ละทุกอย่างให้เหลือแต่รูปกับจิต อาการป่วยตามความเชื่อของพุทธ คือ เป็นวิบากกรรม หากเราเอาตัวเราไปรักษาเอง คนป่วยอาจจะหาย แต่วิบากกรรมก็จะตกกับคนรักษา ดังนั้นเราจึงต้องเจริญสติปัฏฐาน เพื่อเชิญครูมาอยู่กับตัวเรา และให้ครูเป็นคนรักษา ดังนั้นการรักษาแบบโบราณอย่างเทพประสิทธิ์หรือกระทั่งแขนงอื่นๆ เราจะได้ยินคำว่า “ค่าครู” อยู่บ่อยๆ”

พ.อ.ณรงค์ชัย อธิบายถึงวิชานี้ต่อไปอีกว่า วิชาเทพประสิทธิ์ รักษาได้หลายโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับข้อ กระดูก กล้ามเนื้อ หัวใจ อัมพฤกษ์ อาการกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ใจสั่น รองช้ำ โรคกระเพาะอาหาร อาการกรดไหลย้อน หัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมถึงอาการผิดปกติอื่นๆ ที่คนไข้ไปพบแพทย์แผนปัจจุบันและไม่สามารถรักษาให้หายได้ ส่วนใหญ่เมื่อมาหาแล้วรับการรักษาด้วยวิชาเทพประสิทธิ์ก็จะหายทุกรายไป

“เข่าบวม เข่าเสื่อม ข้อเข่าอักเสบ สะบ้าหัวเข่ามีปัญหา อย่าไปผ่าครับ มาหาผม ผมรักษาไม่ต้องผ่ามาเป็นร้อยราย อันนี้ผมท้าพิสูจน์ หัวเข่านี้ภูมิปัญญาโบราณเขาห้ามแตะ ห้ามนวด ห้ามทายา เป็นส่วนเดียวในร่างกายที่ไปทำอะไรกับมันไม่ได้ วิธีโบราณที่ใช้รักษาปวดเข่าคือ เช้าราดเข่าด้วยน้ำเย็น 3 ขัน เย็นอีก 3 ขัน สักพักก็จะหายปวด วิธีการรักษาเข่าแบบเทพประสิทธิ์ก็คือคลายข้อเท้า นิ้วเท้า อาการปวดเข่าหายหมด”

*** เน้นหาต้นตออาการป่วย
พ.อ.ณรงค์ชัย เล่าต่อไปอีกว่า วิชาเทพประสิทธิ์นี้ จะไม่รักษาอาการเจ็บป่วยที่ปลายเหตุเหมือนการนวดบำบัดอาการเจ็บปวดทั่วไป ที่ปวดแขนก็นวดแขน ปวดขาก็นวดขา แต่จะตามรักษาถึงต้นตอของอาการเจ็บป่วยนั้น เพราะอาการปวด เสียว ชา ร้าว ตามจุดต่างๆ ของร่างกายเปรียบเสมือนภาษากายหรือสัญญาณที่ร่างกายตะโกนออกมาว่าเกิดความผิดปกติของอวัยวะใดๆ ภายในร่างกาย

“หลายคนที่มาหาเราด้วยอาการแปลกๆ เช่น ไม่มีแรง นอนไม่หลับ หายใจหอบเหนื่อย หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดหัว หูอื้อ ตาลาย ไปตรวจร่างกายหาที่โรงพยาบาลเท่าไหร่ๆ ก็ไม่เจอว่าเป็นโรคอะไร มาหาผม ผมก็ตรวจเจอว่าเป็นเพราะประตูลมปิด คือ ประตูลมหากปิดเนี่ยเลือดลมจะเดินไม่ดีหรือไม่เดินเลย และเมื่อมันปิดเลือดลมเดินไม่ได้ มันจะตัดระบบการทำงานของร่างกายไปเลย ทำให้เราป่วยแบบมีอาการแปลกๆ แบบนี้ ตอนแรกเขามาเขาก็คิดว่าเป็นโรคร้ายแรงอย่างหัวใจหรือความดันสูง แต่พอเอาจริงๆ แล้วเราแก้ประตูลมแป๊บเดียว กลับไปจากที่กินข้าวไม่ได้ ก็กินข้าวมื้อละสองจาน นอนหลับได้ดี ตอนนี้ก็ดีแล้ว”

***เคล็ดลับอยู่ที่การปรับสมดุล
อ่านถึงตรงนี้ผู้อ่านไม่น้อยอาจจะกังขาถึงความเป็น “ของแท้” ของวิชานี้ว่าจะรักษาได้จริงมากน้อยแค่ไหน พ.อ.ณรงค์ชัยตอบอย่างไม่หวงวิชาว่า เคล็ดลับจริงๆ ของวิชาเทพประสิทธิ์นี้อยู่ที่การ “ปรับสมดุลร่างกาย” โดยวิธีการปรับนั้นใช้วิธีคล้ายกับการนวด ที่ทำให้คนส่วนใหญ่มองเผินๆ คิดว่าเทพประสิทธิ์เป็นวิชาการนวดนั่นเอง

“อาการเจ็บป่วยทุกอย่างเกิดจากภาวะร่างกายขาดความสมดุล บ่อยมากที่เราเจอคนไข้ที่มีปัญหาเจ็บแปล๊บๆ หรือเสียวๆ หน้าอกบริเวณหัวใจ และคิดว่าเป็นโรคหัวใจ แต่ไปตรวจที่โรงพยาบาลหมอก็บอกว่าปกติ แต่จริงๆ คือ เป็นอาการของเส้นเลือดดำที่โคนขาติดขัด เลือดลมตรงจุดนั้นเดินไม่สะดวก ทำให้เลือดเข้าไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่ดี ก็คือเกิดความไม่สมดุลบริเวณเส้นเลือดดำโคนขา พอเราคลายให้ ร่างกายเกิดความสมดุล อาการปวดแปล๊บๆ นั้นก็จะหายไป

เรื่องหัวใจนี่เราให้ความสำคัญมาก คือใครมาด้วยอาการอะไรก็แล้วแต่ เราจะดูแลหัวใจให้ ปรับสมดุลหัวใจให้ทุกคน เพื่อให้หัวใจแข็งแรง เพราะถ้าหัวใจดี ระบบที่มันจะสูบฉีดเลือดก็ดี เลือดไปเลี้ยงสมองก็ดี ลดภาวะเส้นเลือดในสมองแตก หรือตีบตัน ซึ่งเป็นสาเหตุของอัมพาต ผมทำให้ทุกคน ผมไม่อยากให้ใครเป็นเหมือนคุณพ่อผม คุณพ่อผมเป็นอัมพาต และผมรักษาคุณพ่อผมไม่ได้ เพราะอัมพาตจะไม่หาย เทพประสิทธิ์แค่ช่วยให้ดีขึ้นเท่านั้น”

***แง้มตำราเผยขั้นตอนการรักษา
นายทหารหนุ่มใหญ่รายนี้ กล่าวต่อไปอีกว่า ก่อนที่จะรักษาคนไข้ด้วยวิชาเทพประสิทธิ์ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือวัดความสมดุลของร่างกายที่ฝ่าเท้า โดยการจับบริเวณฝ่าเท้า หากร่างกายไม่สมดุลฝ่าเท่าจะนิ่มแข็งไม่เท่ากัน เมื่อตรวจว่าร่างกายไม่สมดุลแล้ว ก็ต้องหาว่าจุดต้นตอความไม่สมดุลกันนั้นอยู่ตรงไหน โดยไล่จากฝ่าเท้า ขา สะโพก หลัง เมื่อพบจุดต้นตอความไม่สมดุลก็จะแก้ให้สมดุล วิธีการปรับสมดุลในจุดที่พบความเจ็บป่วยก็จะต่างกันไปตามอาการ อาทิ หากเป็นเพราะจุดนั้นปิด อุดตัน ก็จะคลายจุดนั้น หากเป็นความผิดปกติของเส้นใยประสาทก็จะรักษาและนวดดึงให้เส้นใยประสาทนั้นเข้าที่

เมื่อรักษาเฉพาะจุดแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการปรับสมดุลทั่วทั้งร่างกายที่จะทำให้คนไข้ทุกๆ คนเหมือนกันหมด และเมื่อรักษาเสร็จแล้ว ก็จะมีคำแนะนำเฉพาะคนไข้รายนั้นๆ ที่จะแตกต่างออกไปตามอาการของแต่ละคน เช่น คนไข้บางรายที่ตรวจพบว่าใช้กล้ามเนื้อทั้งสองซีกของร่างกายไม่เท่ากัน ก็จะแนะให้ใช้ข้างที่ไม่มีแรงให้มากขึ้น คนที่มีอาการเป็นตะคริวบ่อยๆ ก็จะแนะนำวิธีการรักษาตะคริวง่ายๆ ด้วยตนเอง และบางคนที่ต้องออกกำลังกาย พ.อ.ณรงค์ชัยก็จะออกแบบท่าการออกกำลังกายที่เหมาะสมให้ด้วย

***ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ การันตีจากคนไข้!
อ่านเฉพาะแค่คำอธิบายของผู้รักษา อาจจะยังมีความคลางแคลง ทีนี้เราลองมาฟังความเห็นของผู้รับการรักษาดูบ้าง ขาประจำที่มารักษานับสิบครั้งอย่าง “คุณหญิงแดง” หรือคุณหญิงถนัด ปิติวงษ์ ภริยาอดีตอธิบดีกรมชลประทานผู้โด่งดัง-มนัส ปิติวงษ์ ระบุว่ามีอาการปวดเข่ามาก เนื่องจากอุบัติเหตุเส้นพลิกครั้งไปทอดกฐินที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อปีที่แล้ว ลูกสาวซึ่งมาปรับสมดุลร่างกายเป็นประจำกับ พ.อ.ณรงค์ชัย จึงตัดสินใจพามารดามาลองดูบ้าง

“ต้นสัปดาห์หลังปรับสมดุลใหม่ๆ นี่เดินปลิวเชียวล่ะคุณ แต่พอปลายๆ แล้วมันก็เริ่มเจ็บ ก็ต้องมาปรับกันใหม่ เป็นแฟนประจำที่นี่ รักษามาเป็นสิบครั้งแล้ว”

ส่วน คุณตาพิ่น แซ่ลี้ ชายชราวัย 79 ที่ต้องทุกข์ทรมานด้วยอาการขาแข็ง ขาโก่ง เข่าเสื่อม ไม่มีแรงเดิน ถูกลูกหลานหอบหิ้วมาเพราะเดินเองแทบไม่ได้ สืบเนื่องจากขาที่โก่งอย่างหนัก แต่รักษาไปราว 10 ครั้ง ชายชราวัย 79 รายนี้ยืนและเดินเองได้แล้ว แถมยังแข็งแรงพอจะบริหารขาแข้งด้วยการปั่นจักรยานเที่ยวไปรอบๆ หมู่บ้านทุกเช้าวันที่ 30 นาทีอีกด้วย เอากะคุณตาแกสิ!

***จาก “ค่าครู” สู่สำนักวิปัสสนาและปรับสมดุล
พ.อ.ณรงค์ชัย เปิดเผยถึง “ค่าครู” ที่เก็บหลังรักษาในแต่ละครั้งในอัตราครั้งละ 500 บาทว่า ตามหลักของการใช้วิชาเทพประสิทธิ์เพื่อรักษาผู้ตกทุกข์ได้ยากนั้น จะต้องนำค่าครูที่ได้มา ไปบำเพ็ญบุญในรูปแบบต่างๆ โดยก่อนหน้านี้ก็บริจาคเพื่อสร้างกุฏิวัดหลายแห่ง แต่ภายหลังจึงเกิดความคิดสร้างศูนย์วิปัสสนาปรับสมดุลร่างกาย

“ผมมีที่ดินแปลงหนึ่ง 12 ไร่ ซื้อไว้นานแล้ว ตอนแรกกะจะจัดสรรแบ่งๆ กันระหว่างเพื่อนทหารด้วยกัน แต่จู่ๆ ก็เกิดมีพระท่านทักว่าที่ดินนี้ทำธุรกิจไม่ได้หรอก ผมก็เลยคิดว่าผมอยากทำสถานวิปัสสนาเพื่อเป็นศูนย์ศึกษาด้านการเจริญสติ แล้วก็เพื่อเป็นสถานที่ที่เปิดสอนหมออาสาที่สนใจจะเรียนวิชาเทพประสิทธิ์ด้วย คิดเมื่อสักสองปีที่แล้ว ตอนนี้ศูนย์สร้างเสร็จและเปิดใช้แล้วครับ ลงไปราวๆ 3-4 ล้าน ค่าครูทุกบาททุกสตางค์รวมกับเงินเดือนของผมและภรรยา ก็ช่วยกันสร้าง”

หนุ่มใหญ่ผู้ปวารณาตนเพื่อการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยวิชาที่ได้มารายนี้บอกเล่าถึงความยากลำบากของการก่อสร้างศูนย์วิปัสสนาและปรับสมดุลร่างกายด้วยสองมือของเขาและภรรยาว่า คิดอยากก่อด้วยอิฐ แต่ไปดูราคาอิฐตกก้อนละ 12 บาท คิดแล้วสู้ไม่ไหว เมื่อหารือกันในครอบครัวระยะหนึ่งก็คิดจะทำอิฐเอง พ.อ.ณรงค์ชัยและร.อ.หญิงจิราวดีผู้เป็นภรรยา ก็ได้จูงมือกันไปดูงานการก่ออิฐที่เขื่อนลำตะคอง และได้รับการแนะนำให้ไปเข้ารับอบรมวิชาการทำอิฐที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เมื่ออบรมเรียบร้อยก็ส่งลูกสาวคนเล็กไปอบรมการก่อสร้างอาคารด้วยอิฐบล็อกประสานที่วว.อีกครั้ง จากนั้นครอบครัวกิ่งเกตุและลูกมืออีก 5 คนที่หาว่าจ้างมาได้ ก็ลงทุนสั่งอุปกรณ์จำเป็นในการทำอิฐ และใช้ความรู้ที่ได้มาทั้งหมด ลองผิดลองถูกจนได้อิฐบล็อกคุณภาพดี

“เราผลิตอิฐจนพอที่จะสร้างอาคาร แล้วก็หยุด จากนั้นก็เริ่มงานก่อสร้างอาคาร ออกแบบเอง เขียนแบบเอง อิฐแต่ละก้อนสร้างเอง ก่อเอง แม้กระทั่งสวนป่าในพื้นที่ของเรา ต้นไม้ก็ปลูกเองทีละต้น ตอนนี้เปิดใช้แล้ว ก็มีสถานที่ฝึกหมออาสาที่ถาวร มีสถานฝึกเจริญสติที่ถาวร แล้วตอนนี้ก็กำลังทำน้ำหมักชีวภาพเพื่อสุขภาพจากกระท้อนที่เราปลูกอยู่ในพื้นที่ อนาคตคิดจะทำศูนย์ศึกษาเกษตรอินทรีย์ด้วย”

***กิจกรรมดีๆ น่าสนใจ
ก่อนจะจากลาครอบครัวผู้มากด้วยน้ำใจครอบครัวนี้ พ.อ.ณรงค์ชัยได้ฝากบอกบุญกิจกรรมดีๆ อย่าง “การเปิดฝึกหมออาสา วิชาเทพประสิทธิ์ ปรับสมดุลร่างกาย หายทุกข์ทรมาน ไม่ต้องกินยาและผ่าตัด” ที่จะมีขึ้นในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 26และ 27 ก.ย.นี้ ที่โรงเรียนผู้นำ หมู่7 ต.หนองบัว อ.เมือง จ.กาญจนบุรี โดยผู้สนใจเข้ารับการอบรมต้องมาเป็นคู่ เพื่อสะดวกในการสลับกับฝึกนวด โดยจำกัดเพียง 150 คู่ ค่าทำบุญรวมค่าครู ค่าที่พัก ค่าอาหาร (มังสวิรัติ) ตลอดการฝึก ราคาท่านละ 1,500 บาท

รายได้ในครั้งนี้ พ.อ.ณรงค์ชัย มอบทำบุญทั้งหมด โดยมอบให้กองทุนพันธมิตรสู้คดีและมูลนิธิสงเคราะห์สัตว์ ผู้สนใจสามารถประสานขอข้อมูลเพิ่มได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 081-834-5653 และ 081-487-8606 สามารถโอนเงินผ่านบัญชีโรงเรียนผู้นำได้ที่ บัญชีออมทรัพย์ธนาคารกรุงไทย สาขานวมินทร์ ชื่อบัญชี พิมลอร อังสโวทัย เลขที่ 057-0-14956-8 โทรศัพท์สอบถามด้านการโอนเงินโดยตรงที่ 081-914-3444




คุณตาพิ่นวัย 79 จากเดินแทบไม่ได้มาเป็นปั่นจักรยานทุกวัน
คุณหญิงถนัด ปิติวงษ์ อีกหนึ่งคนไข้ขาประจำ
ร.อ.จิราวดีขณะรักษาคนไข้


ฝึกหมออาสาที่ศูนย์วิปัสสนาที่จังหวัดนครนายก ศูนย์จากน้ำพักน้ำแรงครอบครัวกิ่งเกตุ
ภาพศูนย์จากด้านนอก
อิฐที่ใช้สร้างทำเองทีละก้อน
แผนที่ไปบ้านปรับสมดุล
กำลังโหลดความคิดเห็น