“ธงทอง” เล็งหารือผู้บริหารองค์กรหลักจัดการศึกษาเด็กต่างด้าว เผยมีเด็กอยู่ในพื้นที่พักพิงฯ หนีภัยสู้รบจากพม่า 2-3 หมื่นคน และเรียนอยู่ในสังกัด สพฐ.อีก 1.2 แสน ชี้ครูในพื้นที่พักพิงฯ ภาระหนัก ต้องสร้างขวัญกำลังใจและสนับสนุนสื่อการสอนที่ทันสมัย
รศ. ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการคณะกรรมสภาการศึกษา เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ตนได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามการจัดการศึกษาสำหรับผู้หนีภัยจากการสู้รบในพื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยจากการสู้รบบ้านต้นยาง อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ตั้งอยู่บนบริเวณสันเขาตะนาวศรี ตรงแนวแบ่งเขตแดนไทย-พม่า ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ได้เข้าไปจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กและผู้ใหญ่ในพื้นที่พักพิงฯ ซึ่งหนีภัยมาจากประเทศพม่า โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เป็นผู้จัดอบรมฝึกวิชาชีพให้กับผู้หนีภัย ซึ่งการเรียนการสอนในพื้นที่พักพิงฯ นั้นจะจัดสอนทั้งภาษากระเหรี่ยงที่เป็นภาษาเดิมของผู้หนีภัย ภาษาไทย และภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมรองรับสำหรับอพยพไปยังประเทศที่ 3 ต่อไป
อย่างไรก็ตาม การจัดการเรียนการสอนของครูในพื้นที่พักพิงฯ ค่อนข้างเป็นภาระหนัก เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ตำราและแบบเรียนเก่า มีไม่เพียงพอ อีกทั้งการเดินทางของครูที่จะเข้าไปยังพื้นที่พักพิงฯ นั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก ซึ่งครูที่ทำหน้าที่อยู่ทั้งหมดนั้นล้วนทำงานด้วยใจ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรต่างประเทศ ขณะเดียวกัน การจัดฝึกอบรมอาชีพก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้ผู้หนีภัยสามารถนำไปประกอบอาชีพได้ต่อไป
เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวต่อไปอีกว่า ปัจจุบันมีผู้ที่หนีภัยสงครามเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยอยู่ในพื้นที่พักพิงฯ ใน จ.แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี ราชบุรี และตาก ซึ่งมีเด็กวัยเรียนอยู่ ประมาณ 2-3 หมื่นคน ขณะที่มีแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านกระจายอยู่ในจังหวัดทั่วประเทศไทย และมีเด็กวัยเรียนที่เข้าเรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ให้โอกาสทางการศึกษาแก่เด็กต่างด้าว โดยออกระเบียบให้เด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย สามารถเข้าเรียนในสถานศึกษาของไทยได้ ผ่านการลงทะเบียนประมาณ 1.2 แสนคน ดังนั้น ถือว่าเด็กกลุ่มนี้มีอยู่จำนวนมาก และ ศธ.จะต้องดูแลจัดการศึกษาให้ทุกคนตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ 2542 เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง ตนจะหารือร่วมกับผู้บริหารองค์กรหลักของ ศธ. ถึงแนวทางการดำเนินงานในการจัดการศึกษาให้กับเด็กต่างด้าว โดยเฉพาะเด็กที่อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงฯ ซึ่งต้องอยู่ในพื้นที่จำกัดทำให้ขาดประสบการณ์ในการเรียนรู้ รวมถึงแนวทางการสร้างขวัญกำลังใจให้กับครูที่ทำการสอนให้กับเด็กในพื้นที่พักพิงฯ และการสนับสนุนสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัยต่อไปด้วย
รศ. ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการคณะกรรมสภาการศึกษา เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ตนได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามการจัดการศึกษาสำหรับผู้หนีภัยจากการสู้รบในพื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยจากการสู้รบบ้านต้นยาง อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ตั้งอยู่บนบริเวณสันเขาตะนาวศรี ตรงแนวแบ่งเขตแดนไทย-พม่า ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ได้เข้าไปจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กและผู้ใหญ่ในพื้นที่พักพิงฯ ซึ่งหนีภัยมาจากประเทศพม่า โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เป็นผู้จัดอบรมฝึกวิชาชีพให้กับผู้หนีภัย ซึ่งการเรียนการสอนในพื้นที่พักพิงฯ นั้นจะจัดสอนทั้งภาษากระเหรี่ยงที่เป็นภาษาเดิมของผู้หนีภัย ภาษาไทย และภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมรองรับสำหรับอพยพไปยังประเทศที่ 3 ต่อไป
อย่างไรก็ตาม การจัดการเรียนการสอนของครูในพื้นที่พักพิงฯ ค่อนข้างเป็นภาระหนัก เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ตำราและแบบเรียนเก่า มีไม่เพียงพอ อีกทั้งการเดินทางของครูที่จะเข้าไปยังพื้นที่พักพิงฯ นั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก ซึ่งครูที่ทำหน้าที่อยู่ทั้งหมดนั้นล้วนทำงานด้วยใจ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรต่างประเทศ ขณะเดียวกัน การจัดฝึกอบรมอาชีพก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้ผู้หนีภัยสามารถนำไปประกอบอาชีพได้ต่อไป
เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวต่อไปอีกว่า ปัจจุบันมีผู้ที่หนีภัยสงครามเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยอยู่ในพื้นที่พักพิงฯ ใน จ.แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี ราชบุรี และตาก ซึ่งมีเด็กวัยเรียนอยู่ ประมาณ 2-3 หมื่นคน ขณะที่มีแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านกระจายอยู่ในจังหวัดทั่วประเทศไทย และมีเด็กวัยเรียนที่เข้าเรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ให้โอกาสทางการศึกษาแก่เด็กต่างด้าว โดยออกระเบียบให้เด็กที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย สามารถเข้าเรียนในสถานศึกษาของไทยได้ ผ่านการลงทะเบียนประมาณ 1.2 แสนคน ดังนั้น ถือว่าเด็กกลุ่มนี้มีอยู่จำนวนมาก และ ศธ.จะต้องดูแลจัดการศึกษาให้ทุกคนตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ 2542 เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง ตนจะหารือร่วมกับผู้บริหารองค์กรหลักของ ศธ. ถึงแนวทางการดำเนินงานในการจัดการศึกษาให้กับเด็กต่างด้าว โดยเฉพาะเด็กที่อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงฯ ซึ่งต้องอยู่ในพื้นที่จำกัดทำให้ขาดประสบการณ์ในการเรียนรู้ รวมถึงแนวทางการสร้างขวัญกำลังใจให้กับครูที่ทำการสอนให้กับเด็กในพื้นที่พักพิงฯ และการสนับสนุนสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัยต่อไปด้วย