สภาเภสัชกรรมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเภสัชกรเอี่ยวอบรมเภสัชกรเถื่อน พร้อมประสาน อย.สุ่มตรวจเข้มร้านขายยาทั่วประเทศ ระบุปี 51 ตรวจพบร้านขายยา 400-500 ร้าน ไม่มีเภสัชกรอยู่ประจำร้าน ด้าน อย.รับโทษอ่อนปรับแค่ 1-2 พันบาท เตรียมออกกฎกระทรวง สธ.ไม่ต่อใบอนุญาตร้านขายยาที่มีประวัติทำผิด
จากกรณีที่สภาเภสัชกรรม ตรวจพบมีสถาบันและกลุ่มบุคคลหลอกลวงประชาชนด้วยการเปิดอบรมผู้ช่วยเภสัชกร 90 ชั่วโมงแล้ว จะสามารถเข้าทำงานในร้านขายยา คลินิก โรงพยาบาลหรือเปิดร้านขายยาได้เช่นเดียวกับเภสัชกรจริง ซึ่งถือเป็นเภสัชกรเถื่อนนั้น
ศ.(พิเศษ)ดร.ภาวิช ทองโรจน์ นายกสภาเภสัชกรรม กล่าวว่า สภาฯได้ตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเภสัชกรที่เป็นสมาชิกของสภาเภสัชกรรมเพื่อให้ทราบว่ามีผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมคนใดบ้างที่กระทำความผิดด้วยการฝึกอบรมผู้ช่วยเภสัชกรแล้วให้เข้าทำงานแทนเภสัชกร หากตรวจพบก็จะดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอนเพื่อเอาผิดตามจรรยาบรรณวิชาชีพ จะมีโทษสูงสุด คือ การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ซึ่งที่ผ่านมาสภาฯได้เคยตรวจสอบพบผู้กระทำความผิดเช่นนี้ 1 รายแถวรังสิต โดยเป็นกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นเภสัชกรเพียงคนเดียว ได้มีการตักเตือนและเภสัชกรรายนั้นก็ได้เลิกกระทำความผิด แต่ปัจจุบันมีการกระทำเป็นกระบวนการตั้งเป็นสถาบันหรือกลุ่มบุคคลที่อบรมผู้ช่วยเภสัชกร ซึ่งยากที่จะเอาผิดในแง่ของกฎหมายเพราะหากไม่ได้หลอกลวง หรือโฆษณาว่าจะสามารถทำงานแทนเภสัชกรได้ก็ไม่มีความผิด
นายกสภาเภสัชกรรม กล่าวอีกว่า สภาฯจะสามารถเอาผิดก็ต่อเมื่อบุคคลที่ผ่านการอบรมผู้ช่วยเภสัชกร เข้าไปทำงานในร้านขายยา โรงพยาบาล คลินิก หรือเปิดร้านขายยาเองเช่นเดียวกับเภสัชกร เพราะถือเป็นเภสัชกรเถื่อนมีความผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเภสัชกรรม และขณะนี้สภาเภสัชกรรมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการติดตามเรื่องการตรวจสอบร้านขายยาที่มีบุคคลอื่นทำหน้าที่แทนเภสัชกรอย่างเป็นระบบ โดยจะสุ่มตรวจร้านขายยาทั่วประเทศ ด้วยการส่งสารวัตร อย.และเจ้าหน้าที่สภาเภสัชกรรมเข้าไปทดสอบผู้ให้บริการในร้านขายยาว่าเป็นเภสัชกรจริงหรือเภสัชกรเถื่อน หากพบว่าร้านขายยาใดไม่มีเภสัชกรประจำตลอดเวลาหรือให้บุคคลอื่นทำหน้าที่แทนเภสัชกร อย.ก็จะดำเนินการปรับเจ้าของร้านขายยา ในขณะที่เภสัชกรที่มีชื่อประจำอยู่ที่ร้านขายยานั้นแต่กลับไม่ทำหน้าที่ก็จะส่งรายชื่อมาให้สภาฯดำเนินการทางวิชาชีพ
ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช กล่าวด้วยว่า สภาเภสัชกรรมได้รับรายชื่อเภสัชกรที่ไม่ประจำอยู่ที่ร้านขายยาจากอย.ทุกเดือน และจากการสุ่มตรวจร้านขายยาทั่วประเทศเมื่อปี 2551 พบว่ามีร้านขายยา 400-500 ราย ที่มีเภสัชกรรประจำอยู่แต่ชื่อแต่ตัวไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ร้านขายยาตลอดเวลาเปิดทำการของร้าน เป็นการสะท้อนว่าร้านขายยาจำนวนมากที่ปล่อยให้บุคคลอื่นที่ไม่ใช่เภสัชกรมาให้บริการในการจ่ายยาให้กับผู้ใช้บริการ ซึ่งน่าเป็นห่วงประชาชนผู้บริโภคที่มีความเสี่ยงในการได้รับยาที่ไม่ถูกต้องตามอาการเจ็บป่วยและอาจเป็นอันตรายในระยะยาว เช่น ความเป็นพิษของยา การแพ้ยา หรือการได้ยาที่ไม่มีประสิทธิผล เป็นต้น
“จากการที่เจ้าหน้าที่ของสภาฯเคยทำการสุ่มทดสอบผู้ให้บริการในร้านขายยา โดยทำทีเป็นเข้าไปขอรับคำแนะนำเกี่ยวกับยา พบว่า มีจำนวนมากที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับยาแบบมั่วๆ ไม่ถูกต้อง ซึ่งบุคคลเหล่านี้บางครั้งไม่ได้ผ่านแม้แต่การอบรมเป็นผู้ช่วยเภสัชกร แต่กลับเข้าไปยืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋อทำหน้าที่แทนเภสัชกรอยู่ในร้านขายยาหรือคลินิกต่างๆ”ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช กล่าว
ภก.วินิต อัศวกิจวีรี ผู้อำนวยการกองควบคุมยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กล่าวว่า ร้านขายยาที่มาขออนุญาตเปิดทำการกับ อย.จะต้องมีส่วนประกอบหลักที่สำคัญ ได้แก่ สถานที่และต้องมีเภสัชกรประจำตลอดเวลาที่เปิดทำการ โดยร้านขายยาแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.ร้านขายยาที่มีเภสัชกรเป็นเจ้าของร้าน จะไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับการให้บุคคลอื่นทำหน้าที่แทนเภสัชกร และ2.ร้านขายยาที่เจ้าของร้านไม่ได้เป็นเภสัชกร ในส่วนนี้จะมีปัญหามากในแง่ของการไม่มีเภสัชกรประจำอยู่ที่ร้านตลอดเวลาทำการตามที่กฎหมายกำหนด โดยหากอย.ตรวจสอบเจอก็จะดำเนินการเปรียบเทียบปรับประมาณ 1-2 พันบาทตาม พ.ร.บ.ยา 2510 ซึ่งถือเป็นกฎหมายที่มีความชรามากและมีการกำหนดโทษที่ค่อนข้างอ่อน ทำให้ผู้ประกอบการร้านขายยาไม่มีความเกรงกลัว
ผอ.กองควบคุมยา กล่าวอีกว่า ในการแก้ปัญหากระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ได้ยกร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการออกใบอนุญาตขายยา ซึ่งขณะนี้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) เรียบร้อยแล้วอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎี โดยสาระสำคัญจะกำหนดให้มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและประเมินคุณภาพและมาตรฐานร้านขายยาว่าปฏิบัติตามเกณฑ์เภสัชกรรมหรือไม่ และที่สำคัญ จะมีการเก็บประวัติร้านขายยาที่กระทำความผิดเพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณาการขอต่อใบอนุญาตเปิดร้านขายยาที่ต้องขอต่อปีต่อปี โดยจะไม่ดำเนินการต่อใบอนุญาตให้กับร้านขายยาที่มีประวัติการกระทำผิด ซึ่งมาตรการเหล่านี้อาจจะช่วยควบคุมไม่ให้มีบุคคลอื่นเข้าไปทำหน้าที่แทนเภสัชกรในร้านขายยาได้