สธ.เผยขณะนี้ยาเสพติดแพร่ระบาด เด็กและเยาวชนเข้าถึงยานรกง่าย จากเดิมเคยพบเด็กสุดอายุ 15 ตอนนี้เจอแค่ 13 ก็ติดแล้ว ด้าน อย.คุมเข้มปริมาณการใช้ยาแก้หวัด-อัลฟาโซแลม หวั่นแอบสกัดสารนำไปผลิตเป็นยาเสพติด
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ปัจจุบันยาเสพติดเข้าถึงและแพร่หลายในกลุ่มเด็กและเยาวชนได้ง่ายมาก ทำให้อายุผู้เสพลดน้อยลงเรื่อยๆ จากเดิมพบอายุน้อยสุด 15 ปี ปัจจุบันน้อยสุดอายุ 13 ปี ประกอบกับที่ผ่านมาการเข้าสู่กระบวนการบำบัดเป็นการบังคับไม่ใช่การสมัครใจทำให้มีผู้ที่ติดยาเสพติดเพิ่มขึ้น ถือเป็นสิ่งที่น่าห่วงอย่างยิ่ง
ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อย.มีการเฝ้าระวังจำนวนการใช้ยาที่มีส่วนผสมของสารสูโดเอฟรีดีนที่อาจมีผู้ลักลอบนำไปเป็นสารผลิตยาบ้า โดยมีการตรวจดูการนำเข้าและส่งออกของผู้ผลิต เพื่อให้ทราบว่ามีเส้นทางการซื้อขายที่ถูกต้องหรือไม่ โดยที่ผ่านมา อย.ตรวจพบว่าผู้ผลิตบางรายแจ้งข้อมูลเท็จว่า ได้จำหน่ายยาดังกล่าวให้ร้ายขายยาและคลินิกในจังหวัดแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือแต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่า ร้านขายยาและคลินิกที่ถูกกล่าวอ้างไม่เคยได้รับยาดังกล่าวเลย
ภญ.วีรวรรณ กล่าวต่อว่า ส่วนการนำยาคลายเครียดหรืออัลฟาโซแลมไปผสมแอลกอฮอล์เพื่อเสพ ทำให้รู้สึกสนุกสนาน เคลิบเคลิ้ม มึนงง เวียนศีรษะ ไม่รู้สึกตัว เพราะประสาทส่วนกลางถูกกด เช่นเดียวกับการนำยาแก้ไอหรือยาลดน้ำมูกไปผสมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วดื่ม ซึ่งเดิมเคยตรวจพบเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นภาคใต้ แต่ปัจจุบันมีการตรวจพบมีการนำไปใช้ในภาคเหนือมากขึ้น
“สำหรับยาสูโดเอฟรีดีนล้วนจะต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น แต่หากเป็นยาที่มีสูโดเอฟรีดีนเป็นหนึ่งในส่วนผสมอนุญาตให้ร้านขายยาขายได้ แต่ต้องไม่เกินครั้งละ 60 เม็ด ซึ่ง อย.ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่แต่ละจังหวัดตรวจสอบอย่างเข้มข้น หากมีการสั่งยาทั้ง 2 ชนิดไปขายในพื้นที่ในปริมาณที่ค่อนข้างสูงก็ให้รีบเช็คข้อเท็จจริงว่านำยาไปใช้ในลักษณะใด มีการแอบลักลอบนำไปผลิตเป็นยาบ้าหรือเสพเป็นยาเสพติดหรือไม่” ภญ.วีรวรรณกล่าว
ขณะที่ภก.วินิต อัศวกิจวีรี ผู้อำนวยการกองควบคุมยา กล่าวว่า อย. ได้ประสาน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ปปส.) ให้เฝ้าระวังปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติด โดยเฉพาะการตระเวนซื้อยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของสูโดเอฟีดรีน ซึ่งมีสรรพคุณออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ถูกนำไปสกัดสารบางชนิดไปเป็นส่วนผสมยาบ้า เพื่อส่งขายในต่างประเทศ เนื่องจากมีราคาถูก ราคาต้นทุนเม็ดละ 30 สตางค์ หรือ 1 ขวด มียา 1,000 เม็ด โดยมีราคาเพียง 300 กว่าบาทเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมา มีการจับกุมครั้งใหญ่มาแล้วโดยเป็นการนำยาแก้หวัดที่ตระเวนซื้อได้ส่งออกไปจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย
ทั้งนี้ ในการแก้ปัญหาเบื้องต้น อย. ได้ประชุมร่วมกับบริษัทผู้ผลิตยา และผู้จำหน่ายยาทั้งส่งและปลีก ขอความร่วมมือให้จัดทำบรรจุภัณฑ์สำหรับร้านขายปลีกทั่วไปใหม่ ซึ่งจากเดิมจะขายเป็นเม็ดหรือขายยกขวด ให้เปลี่ยนเป็นขายเป็นแผงแทน แต่จะทำให้ยามีราคาแพงขึ้น ส่วนการขายให้สถานพยาบาลต่างๆ ให้ขายยกขวดตามปกติ ที่สำคัญให้ระมัดระวังหากมีผู้มาซื้อยาแก้หวัดจำนวนมากจนผิดปกติ ให้แจ้งเบาะแสมายังอย. หรือปปส. ได้ทันที และไม่ควรขายยาให้กับคนเหล่านี้
“นอกจากนี้ อย.ได้ควบคุมการนำเข้าสารเพื่อผลิตยาแก้หวัดไม่ให้ผลิตในปริมาณมากเกินความต้องการใช้ยาของคนไทย โดยบริษัทผู้ผลิตยาต้องแจ้งจำนวนการผลิตยากับอย. ทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม หากภายใน 1-2 เดือนจากนี้ปัญหาการลักลอบซื้อยาแก้หวัดไปผลิตยาบ้าระบาดหนักขึ้น จนทำให้ยาขายตลาดทำให้ผู้ป่วยไม่มียาทาน อย. จะพิจารณาเพิ่มการควบคุมโดยกำหนดให้เป็นยาควบคุมพิเศษ ต้องให้แพทย์ เป็นผู้สั่งจ่ายยาเท่านั้น จากเดิมที่เป็นเพียงยาอันตราย ซึ่งไม่มีการควบคุม ประชาชนสามารถซื้อยาได้จากร้านขายยาทั่วไป ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาเดียวกับต่างประเทศ” ภก.วินิต กล่าว