“ฮัดเช้ย...ค้อกแค้ก ค้อกแค้ก” กิริยาการจามและไอ อันเนื่องมาจากอาการของโรคภูมิแพ้ ซึ่งผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้คงซาบซึ้งดีกับความน่ารำคาญทั้งหลายแหล่ที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นอาการคัดจมูก หายใจไม่ออก เสมหะเหนียวเต็มคอ คันยุบยิบในโพรงทางเดินหายใจ และถ้าเป็นมากๆ อาการคันอาจจะลามไปถึงดวงตา และผิวหนังส่วนอื่นๆ ด้วย
และถ้าหากผู้ป่วยภูมิแพ้ไม่พบแพทย์และดูแลตัวเองอย่างจริงจังแล้ว โรคอาจจะพัฒนาไปจนเพิ่มอาการหอบ หืด หรือแพ้มากขึ้นตามไปอีก
พญ.ลลิตา ธีระสิริ แห่งศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี ผู้เชี่ยวชาญการบำบัดอาการภูมิแพ้แบบไม่ใช้ยาด้วยการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงสถานการณ์และจำนวนที่เพิ่มขึ้นของผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้และการดูแลตัวเองแบบง่ายๆ ที่จะช่วยเยียวยาอาการภูมิแพ้ให้น้อยลงด้วยตัวเองว่า จากข้อมูลล่าสุดที่เคยมีผู้เก็บสถิติไว้ในปี พ.ศ.2538 พบว่ามีคนไทยที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้และไปพบแพทย์ทั้งหมด 13 ล้านคน ไม่นับผู้ที่ซื้อยากินเองตามอาการและผู้ที่ทนโดยไม่ไปพบแพทย์และไม่ซื้อยากินเองซึ่งมีอีกจำนวนไม่น้อย
“ปีที่แล้วโรงพยาบาลศิริราชออกมาให้ข้อมูลว่าจะมีผู้ป่วยเด็กโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึงปีละ 60,000 ราย ถามว่าทำไมเราจึงพบเด็กที่ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ตั้งแต่ยังเด็กๆ คำตอบก็คือ เด็กจะเริ่มเป็นโรคภูมิแพ้หลังจากเลิกกินนมแม่และหันมากินนมวัว รวมถึงอาหารอย่างอื่น ซึ่งเหล่านี้อาจจะมีสารอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้แพ้ได้”
พญ.ลลิตา อธิบายอาการของโรคภูมิแพ้ ว่า ผู้ป่วยจะมีอาการคันมากในคอ คันตา และคันผิวหนัง น้ำมูกไหล หายใจไม่ออก ไม่ได้กลิ่น จมูกตัน ปวดหนักศีรษะ ไอ น้ำตาไหล นอนกรน ซึ่งแม้ว่าผู้ป่วยบางรายอาจจะหายไปเองเมื่อโตขึ้น แต่ก็มีประมาณ 30% ที่ไม่หายและต้องทุกข์ทรมานด้วยอาการนี้ไปตลอดชีวิต และที่สำคัญคือ หากเลือกที่จะรักษาโรคนี้ด้วยยาแผนปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นยาสเตียรอยด์นั้น ก็จำเป็นจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต ซึ่งสารตกค้างและผลข้างเคียงก็อาจจะส่งผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาวด้วย
“วิธีการเยียวยาตัวเองเมื่อป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับการดำเนินชีวิต สำหรับผู้ที่เลือกจะไม่รักษาด้วยวิธีกินยาแผนปัจจุบัน วิธีการนี้ทำได้เองที่บ้าน ง่ายๆ คือ ปรับอาหาร ออกกำลังกาย และที่สำคัญคือ ต้องไม่ให้แม่ที่มีอายุครรภ์ 6 เดือน คือก่อนคลอดสามเดือน กินนมวัว คือห้ามแม่ที่กำลังจะคลอดกินนมวัว เพราะโปรตีนนมวัวเป็นโปรตีนเล็ก สามารถจะเข้าไปถึงทารกในครรภ์ผ่านทางสายสะดือได้ทั้งสาย ซึ่งลูกที่อยู่ในท้องอาจจะมีอาการแพ้ตั้งแต่อยู่ในท้องได้ ถ้าหากจำเป็นต้องกินแคลเซียม ควรให้แม่หาแคลเซียมจากแหล่งอื่น
อย่างที่หมอเด็กแนะนำ คือ ควรเลี้ยงทารกด้วยนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน นั่นเพราะเมื่อเด็กเกิดใหม่ๆ เนื้อเยื่อในร่างกายจะยังหลวม ยังไม่แน่น เมื่อนมวัวเข้าไปอาจจะนำสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้เข้าไปในตัวเด็กด้วย ดังนั้นหากจำเป็นต้องเลี้ยงทารกด้วยนมวัวจริง ควรให้หลังจากอายุเกิน 6 เดือนไปแล้ว แต่ก็ไม่ควรจะให้มาก”
แพทย์คนเดิมกล่าวต่อไปอีกว่า อาหารที่ผู้ป่วยภูมิแพ้ควรเลี่ยงประการแรกเลย คือ “นมวัว” และผลิตภัณฑ์จากนมวัว เช่น ชีส โยเกิร์ต เค้ก พิซซ่า ช็อกโกแลต ฯลฯ เนื่องจากสถิติที่พบจากผู้ป่วยก็คือ ประมาณ 50% มีอาการแพ้นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว
“อาการแพ้ที่มาจากอาหารนั้น เท่าที่เราพบ มีผู้ป่วยที่มีอาการแพ้นมวัวสูงถึง 50% รองลงมาคือแพ้ไข่แดง 10% แพ้ถั่วลิสง และถั่วเหลือง 3% แพ้ข้าวสาลี 1% แพ้ช็อกโกแลต 1% และแพ้อาหารทะเล 1% ซึ่งหากผู้ป่วยมาพบเรา เราก็จะแนะนำให้เขาเลิกกินนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวโดยเด็ดขาด ซึ่งหากเขาแพ้ตัวนี้ เมื่อหยุดกินอย่างเด็ดขาด เขาจะหายจากอาการภูมิแพ้ภายใน 6 เดือน แต่ถ้าไม่หายอีก เราก็จะให้เขางดไข่แดง กินได้แต่เฉพาะไข่ขาว แต่เท่าที่พบเมื่องดนมวัว อาการก็จะดีขึ้น
สังเกตไหมว่า ในขณะนี้มีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มากขึ้น ในขณะที่คนไทยรุ่นก่อนไม่ค่อยเป็น นั่นเพราะอาหารที่เปลี่ยนไป คนรุ่นก่อนกินอาหารไทย ไม่ได้กินนม กินเนย กินผงชูรส กินชีส พวกพิซซ่า โยเกิร์ต ทำให้ไม่พบอาการภูมิแพ้ในคนรุ่นก่อนมากนัก แต่ปัจจุบันเด็กบ้านเรากินแบบฝรั่งมากขึ้น กินนม กินเนย กินฟาสต์ฟู้ด กินขนมกรอบๆ ในซองที่เป็นแป้งใส่ผงชูรส นั่นเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเป็นภูมิแพ้
นอกจากนี้ ยังมีสารอีกหลายชนิดที่ใช้กันในท้องตลาด ที่กระตุ้นทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ แต่หลักๆ จำไว้ 5 ตัวก็พอ คือ ทาร์ทราซีน ถูกใช้เป็นสีเหลืองส้มในการทำเค้ก แยม เครื่องดื่ม และซอส, อะมาแรนด์ คือ สีแดงในเยลลี่ เครื่องดื่ม ซอส แยม, ไนไตรท์ ที่จะพบในเนื้อสัตว์แปรรูปจำพวกไส้กรอก และทรากาแดนท์ที่จะพบในเนยแข็ง น้ำสลัดและตัวสุดท้ายที่ผู้ป่วยภูมิแพ้ควรเลี่ยง ก็คือ ผงชูรส
ส่วนอาหารดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ที่แนะนำให้ผู้ป่วยทุกคนกิน ก็คือ ผักสดวันละ 2 จาน ผลไม้วันละ 2 ผล ขนาดเท่าผลแอปเปิ้ล ถ้าใหญ่หรือเล็กก็วัดตามสัดส่วน เอาขนาดผลแอปเปิ้ลเป็นเกณฑ์ และน้ำผลไม้คั้นสด 1 แก้ว ขอให้กินได้ในสัดส่วนทั้งหมดนี้ทุกวัน”
นอกจากนี้ พญ.ลลิตา ยังได้แนะนำให้เสริมความแข็งแรงให้แก่ร่างกายด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน โดยเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่ชอบและเหมาะสมต่อตนเอง แต่ต้องเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิค โดยใช้แรงประมาณ 60%
“เลือกที่ชอบและเหมาะกับตัวเอง อาจจะเป็นวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือเต้นแอโรบิกก็ได้ แล้วที่บอกบอกว่าใช้แรงประมาณ 60% เดี๋ยวจะไม่เข้าใจ อธิบายง่ายๆ ก็คือไม่เหนื่อยขนาดที่เต้นไปพูดไปไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้เบาขนาดเต้นไปร้องเพลงไปได้ เช็กง่ายๆ ก็คือ เอาเพื่อนไปด้วยเวลาไปออกกำลังกาย ถ้าเราออกกำลังกายขนาดร้องเพลงไปเต้นไปได้ นั่นถือว่าเบาไป ให้เพิ่มแรงให้เหนื่อยอีกนิด แต่ถ้าเหนื่อยจนพูดกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง ให้ลดแรงลงมาหน่อย นั่นเหนื่อยเกินไป ออกกำลังกายให้ได้ทุกวันหรือถ้าไม่ได้ทุกวันก็ขอให้ออกให้ได้สม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้”
ประการสุดท้าย ที่สามารถทำเองได้ที่บ้านแบบไม่ยากเลย คือ การ “ล้างพิษ” โดยพญ.รายระบุว่า ตามหลักของบัลวี การล้างพิษคือการอดอาหารและปล่อยให้ร่างกายขับสารพิษออกมา
“มีอยู่ 2 สูตรที่จะแนะนำ ก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนที่จะนำไปใช้ สูตรแรก คือ สูตร 10 วัน ซึ่งควรทำปีละ 1-2 ครั้ง เริ่มจากการเตรียมร่างกาย 1 วัน โดยลดจำนวนอาหารที่กินลง อีก 2 วันต่อมาให้กินผลไม้อย่างเดียว จากนั้นอีก 5 วันให้กินแต่ผักสด ผลไม้ เห็ด โดยงดข้าวและเนื้อสัตว์ จากนั้น 2 วันที่เหลือเป็นวันปรับท้องเตรียมออกด้วยการเพิ่มจำนวนผักสดและผลไม้ที่กินให้เพิ่มขึ้น เมื่อครบ 10 วันจากโปรแกรมนี้ก็กินอาหารอื่นได้ตามปกติ”
และสำหรับโปรแกรมอด 1 วันล้างพิษนั้น ค่อนข้างสะดวกและทำง่าย ซึ่งหากจะให้ได้ผลดีต่อร่างกายพญ.ลลิตาแนะนำว่าควรทำให้ได้ทุกสัปดาห์ วิธีทำคือ มื้อเช้าให้กินผลไม้และน้ำผลไม้คั้นสดที่ชอบ มื้อต่อมาให้กินผลไม้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้าหากท้องปรับจนชินแล้วอาจจะเปลี่ยนจากผลไม้มื้อกลางวันและเย็น เหลือแค่น้ำผลไม้คั้นสดมื้อละแก้ว หรือเป็นน้ำเปล่าทั้งวัน หรือไม่กินอะไรเลยทั้งวัน แล้วจะความชินของร่างกายแต่ละคน
“ถ้าเป็นมือใหม่หัดล้างพิษ คือหัดอด ก็แนะนำโปรแกรมแรก คือ ให้กินผลไม้ทั้งวันได้ แล้วพอครบ 24 ชั่วโมง ให้นำมะนาว 4 ลูก ผสมในน้ำ 2 ขวด ขวดละ 2 ลูก ตามด้วยเกลือ 2 ช้อนชา และค่อยดื่มลงไป เพราะเมื่อร่างกายอดอาหารและได้พัก ร่างกายจะขับสารพิษออกมาที่ตับ และจะถูกลำเลียงไปยังลำไส้เล็ก การกินน้ำผสมมะนาวและเกลือลงไป จะเป็นการล้างพิษออกไปทางลำไส้ใหญ่ และถูกขับถ่ายออกไปในที่สุด” พญ.ลลิตา แนะนำ
และถ้าหากผู้ป่วยภูมิแพ้ไม่พบแพทย์และดูแลตัวเองอย่างจริงจังแล้ว โรคอาจจะพัฒนาไปจนเพิ่มอาการหอบ หืด หรือแพ้มากขึ้นตามไปอีก
พญ.ลลิตา ธีระสิริ แห่งศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี ผู้เชี่ยวชาญการบำบัดอาการภูมิแพ้แบบไม่ใช้ยาด้วยการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงสถานการณ์และจำนวนที่เพิ่มขึ้นของผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้และการดูแลตัวเองแบบง่ายๆ ที่จะช่วยเยียวยาอาการภูมิแพ้ให้น้อยลงด้วยตัวเองว่า จากข้อมูลล่าสุดที่เคยมีผู้เก็บสถิติไว้ในปี พ.ศ.2538 พบว่ามีคนไทยที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้และไปพบแพทย์ทั้งหมด 13 ล้านคน ไม่นับผู้ที่ซื้อยากินเองตามอาการและผู้ที่ทนโดยไม่ไปพบแพทย์และไม่ซื้อยากินเองซึ่งมีอีกจำนวนไม่น้อย
“ปีที่แล้วโรงพยาบาลศิริราชออกมาให้ข้อมูลว่าจะมีผู้ป่วยเด็กโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึงปีละ 60,000 ราย ถามว่าทำไมเราจึงพบเด็กที่ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ตั้งแต่ยังเด็กๆ คำตอบก็คือ เด็กจะเริ่มเป็นโรคภูมิแพ้หลังจากเลิกกินนมแม่และหันมากินนมวัว รวมถึงอาหารอย่างอื่น ซึ่งเหล่านี้อาจจะมีสารอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้แพ้ได้”
พญ.ลลิตา อธิบายอาการของโรคภูมิแพ้ ว่า ผู้ป่วยจะมีอาการคันมากในคอ คันตา และคันผิวหนัง น้ำมูกไหล หายใจไม่ออก ไม่ได้กลิ่น จมูกตัน ปวดหนักศีรษะ ไอ น้ำตาไหล นอนกรน ซึ่งแม้ว่าผู้ป่วยบางรายอาจจะหายไปเองเมื่อโตขึ้น แต่ก็มีประมาณ 30% ที่ไม่หายและต้องทุกข์ทรมานด้วยอาการนี้ไปตลอดชีวิต และที่สำคัญคือ หากเลือกที่จะรักษาโรคนี้ด้วยยาแผนปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นยาสเตียรอยด์นั้น ก็จำเป็นจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต ซึ่งสารตกค้างและผลข้างเคียงก็อาจจะส่งผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาวด้วย
“วิธีการเยียวยาตัวเองเมื่อป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับการดำเนินชีวิต สำหรับผู้ที่เลือกจะไม่รักษาด้วยวิธีกินยาแผนปัจจุบัน วิธีการนี้ทำได้เองที่บ้าน ง่ายๆ คือ ปรับอาหาร ออกกำลังกาย และที่สำคัญคือ ต้องไม่ให้แม่ที่มีอายุครรภ์ 6 เดือน คือก่อนคลอดสามเดือน กินนมวัว คือห้ามแม่ที่กำลังจะคลอดกินนมวัว เพราะโปรตีนนมวัวเป็นโปรตีนเล็ก สามารถจะเข้าไปถึงทารกในครรภ์ผ่านทางสายสะดือได้ทั้งสาย ซึ่งลูกที่อยู่ในท้องอาจจะมีอาการแพ้ตั้งแต่อยู่ในท้องได้ ถ้าหากจำเป็นต้องกินแคลเซียม ควรให้แม่หาแคลเซียมจากแหล่งอื่น
อย่างที่หมอเด็กแนะนำ คือ ควรเลี้ยงทารกด้วยนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน นั่นเพราะเมื่อเด็กเกิดใหม่ๆ เนื้อเยื่อในร่างกายจะยังหลวม ยังไม่แน่น เมื่อนมวัวเข้าไปอาจจะนำสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้เข้าไปในตัวเด็กด้วย ดังนั้นหากจำเป็นต้องเลี้ยงทารกด้วยนมวัวจริง ควรให้หลังจากอายุเกิน 6 เดือนไปแล้ว แต่ก็ไม่ควรจะให้มาก”
แพทย์คนเดิมกล่าวต่อไปอีกว่า อาหารที่ผู้ป่วยภูมิแพ้ควรเลี่ยงประการแรกเลย คือ “นมวัว” และผลิตภัณฑ์จากนมวัว เช่น ชีส โยเกิร์ต เค้ก พิซซ่า ช็อกโกแลต ฯลฯ เนื่องจากสถิติที่พบจากผู้ป่วยก็คือ ประมาณ 50% มีอาการแพ้นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว
“อาการแพ้ที่มาจากอาหารนั้น เท่าที่เราพบ มีผู้ป่วยที่มีอาการแพ้นมวัวสูงถึง 50% รองลงมาคือแพ้ไข่แดง 10% แพ้ถั่วลิสง และถั่วเหลือง 3% แพ้ข้าวสาลี 1% แพ้ช็อกโกแลต 1% และแพ้อาหารทะเล 1% ซึ่งหากผู้ป่วยมาพบเรา เราก็จะแนะนำให้เขาเลิกกินนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวโดยเด็ดขาด ซึ่งหากเขาแพ้ตัวนี้ เมื่อหยุดกินอย่างเด็ดขาด เขาจะหายจากอาการภูมิแพ้ภายใน 6 เดือน แต่ถ้าไม่หายอีก เราก็จะให้เขางดไข่แดง กินได้แต่เฉพาะไข่ขาว แต่เท่าที่พบเมื่องดนมวัว อาการก็จะดีขึ้น
สังเกตไหมว่า ในขณะนี้มีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มากขึ้น ในขณะที่คนไทยรุ่นก่อนไม่ค่อยเป็น นั่นเพราะอาหารที่เปลี่ยนไป คนรุ่นก่อนกินอาหารไทย ไม่ได้กินนม กินเนย กินผงชูรส กินชีส พวกพิซซ่า โยเกิร์ต ทำให้ไม่พบอาการภูมิแพ้ในคนรุ่นก่อนมากนัก แต่ปัจจุบันเด็กบ้านเรากินแบบฝรั่งมากขึ้น กินนม กินเนย กินฟาสต์ฟู้ด กินขนมกรอบๆ ในซองที่เป็นแป้งใส่ผงชูรส นั่นเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเป็นภูมิแพ้
นอกจากนี้ ยังมีสารอีกหลายชนิดที่ใช้กันในท้องตลาด ที่กระตุ้นทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ แต่หลักๆ จำไว้ 5 ตัวก็พอ คือ ทาร์ทราซีน ถูกใช้เป็นสีเหลืองส้มในการทำเค้ก แยม เครื่องดื่ม และซอส, อะมาแรนด์ คือ สีแดงในเยลลี่ เครื่องดื่ม ซอส แยม, ไนไตรท์ ที่จะพบในเนื้อสัตว์แปรรูปจำพวกไส้กรอก และทรากาแดนท์ที่จะพบในเนยแข็ง น้ำสลัดและตัวสุดท้ายที่ผู้ป่วยภูมิแพ้ควรเลี่ยง ก็คือ ผงชูรส
ส่วนอาหารดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ที่แนะนำให้ผู้ป่วยทุกคนกิน ก็คือ ผักสดวันละ 2 จาน ผลไม้วันละ 2 ผล ขนาดเท่าผลแอปเปิ้ล ถ้าใหญ่หรือเล็กก็วัดตามสัดส่วน เอาขนาดผลแอปเปิ้ลเป็นเกณฑ์ และน้ำผลไม้คั้นสด 1 แก้ว ขอให้กินได้ในสัดส่วนทั้งหมดนี้ทุกวัน”
นอกจากนี้ พญ.ลลิตา ยังได้แนะนำให้เสริมความแข็งแรงให้แก่ร่างกายด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน โดยเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่ชอบและเหมาะสมต่อตนเอง แต่ต้องเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิค โดยใช้แรงประมาณ 60%
“เลือกที่ชอบและเหมาะกับตัวเอง อาจจะเป็นวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือเต้นแอโรบิกก็ได้ แล้วที่บอกบอกว่าใช้แรงประมาณ 60% เดี๋ยวจะไม่เข้าใจ อธิบายง่ายๆ ก็คือไม่เหนื่อยขนาดที่เต้นไปพูดไปไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้เบาขนาดเต้นไปร้องเพลงไปได้ เช็กง่ายๆ ก็คือ เอาเพื่อนไปด้วยเวลาไปออกกำลังกาย ถ้าเราออกกำลังกายขนาดร้องเพลงไปเต้นไปได้ นั่นถือว่าเบาไป ให้เพิ่มแรงให้เหนื่อยอีกนิด แต่ถ้าเหนื่อยจนพูดกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง ให้ลดแรงลงมาหน่อย นั่นเหนื่อยเกินไป ออกกำลังกายให้ได้ทุกวันหรือถ้าไม่ได้ทุกวันก็ขอให้ออกให้ได้สม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้”
ประการสุดท้าย ที่สามารถทำเองได้ที่บ้านแบบไม่ยากเลย คือ การ “ล้างพิษ” โดยพญ.รายระบุว่า ตามหลักของบัลวี การล้างพิษคือการอดอาหารและปล่อยให้ร่างกายขับสารพิษออกมา
“มีอยู่ 2 สูตรที่จะแนะนำ ก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนที่จะนำไปใช้ สูตรแรก คือ สูตร 10 วัน ซึ่งควรทำปีละ 1-2 ครั้ง เริ่มจากการเตรียมร่างกาย 1 วัน โดยลดจำนวนอาหารที่กินลง อีก 2 วันต่อมาให้กินผลไม้อย่างเดียว จากนั้นอีก 5 วันให้กินแต่ผักสด ผลไม้ เห็ด โดยงดข้าวและเนื้อสัตว์ จากนั้น 2 วันที่เหลือเป็นวันปรับท้องเตรียมออกด้วยการเพิ่มจำนวนผักสดและผลไม้ที่กินให้เพิ่มขึ้น เมื่อครบ 10 วันจากโปรแกรมนี้ก็กินอาหารอื่นได้ตามปกติ”
และสำหรับโปรแกรมอด 1 วันล้างพิษนั้น ค่อนข้างสะดวกและทำง่าย ซึ่งหากจะให้ได้ผลดีต่อร่างกายพญ.ลลิตาแนะนำว่าควรทำให้ได้ทุกสัปดาห์ วิธีทำคือ มื้อเช้าให้กินผลไม้และน้ำผลไม้คั้นสดที่ชอบ มื้อต่อมาให้กินผลไม้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้าหากท้องปรับจนชินแล้วอาจจะเปลี่ยนจากผลไม้มื้อกลางวันและเย็น เหลือแค่น้ำผลไม้คั้นสดมื้อละแก้ว หรือเป็นน้ำเปล่าทั้งวัน หรือไม่กินอะไรเลยทั้งวัน แล้วจะความชินของร่างกายแต่ละคน
“ถ้าเป็นมือใหม่หัดล้างพิษ คือหัดอด ก็แนะนำโปรแกรมแรก คือ ให้กินผลไม้ทั้งวันได้ แล้วพอครบ 24 ชั่วโมง ให้นำมะนาว 4 ลูก ผสมในน้ำ 2 ขวด ขวดละ 2 ลูก ตามด้วยเกลือ 2 ช้อนชา และค่อยดื่มลงไป เพราะเมื่อร่างกายอดอาหารและได้พัก ร่างกายจะขับสารพิษออกมาที่ตับ และจะถูกลำเลียงไปยังลำไส้เล็ก การกินน้ำผสมมะนาวและเกลือลงไป จะเป็นการล้างพิษออกไปทางลำไส้ใหญ่ และถูกขับถ่ายออกไปในที่สุด” พญ.ลลิตา แนะนำ