คาด 6 เดือน กทม.ได้ข้อสรุปแนวทางป้องกันน้ำทะเลกัดเซาะฝั่งบางขุนเทียน หลังหารือร่วมกับเนเธอร์แลนด์เสนอใช้เทคโนโลยีเร่งดินตกตะกอนให้เร็วขึ้นเป็นแนวเขื่อน ชี้ ยั่งยืนกว่าเขื่อนไม้ไผ่
นายประกอบ จิรกิติ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมหารือกับ นายมาร์โก ฮัทแมน (Marco Hartman Ms.c.) ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันกัดเซาะชายฝั่ง และน้ำท่วม และ นายปีเตอร์ แวน แซนเทน (Peter Van Zanten) ที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจของสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย ผู้แทนของสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย ถึงการนำเทคโนโลยีป้องกันพื้นที่ชายฝั่งจากน้ำทะเลกัดเซาะ
โดย นายประกอบ ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากนี้ กทม.จะรวบรวมตัวเลขและข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างแนวป้องกันน้ำทะเลกัดเซาะ ระบบนิเวศวิทยาในพื้นที่ เพื่อให้ทางผู้แทนของสถานทูตเนเธอร์แลนด์นำไปศึกษาประกอบกับหาแนวทางแก้ไขปัญหา เพราะแนวทางป้องกันน้ำท่วมของประเทศเนเธอร์แลนด์นั้น ต่างจาก กทม.ที่ว่าพื้นที่บางขุนเทียนจะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยา เช่น การดำรงอยู่ของสัตว์น้ำ การทำการประมง การทำฟาร์มเลี้ยงกุ้ง หอย ของประชาชนเขตบางขุนเทียนด้วย ซึ่งหากทางกทม.ส่งข้อมูลของ กทม.ให้กับทางผู้แทนแล้ว คาดว่า ภายใน 6 เดือนจะได้แนวทางแก้ไขเบื้องต้น
นายประกอบ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวป้องกันน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งบางขุนเทียนปัจจุบันที่ใช้เป็นแนวเขื่อนไม้ไผ่ ทางผู้แทนสถานทูตเห็นด้วยในหลักการ และเห็นว่า เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดี แต่จะไม่มีความยั่งยืน และไม่สามารถสร้างตะกอนดินหลังแนวไม้ไผ่ได้ทันกับการทำลายดินของคลื่น ดังนั้น ทางผู้แทนได้แนะนำ ว่า ต้องหาเทคโนโลยีเพื่อช่วยเร่งให้ดินตกตะกอนได้เร็วขึ้นโดยจะต้องไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศน์ ส่วนแนวทางป้องกันปัจจุบันจากที่ได้หารือกับประชาชนในพื้นที่แล้วก็จะยังคงใช้แนวเขื่อนไม้ไผ่เพื่อสร้างตะกอนดิน จากนั้นก็จะปลูกป่าชายเลนป้องกันเพื่อยึดผืนดิน อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจปัจจุบันน้ำทะเลยังคงกัดเซาะผืนดินอยู่ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะต้องอพยพประชาชนออกนอกพื้นที่
