“จรัล” ค้านออกฎกระทรวงให้ยา เครื่องมือแพทย์เป็นสินค้าปลอดภัย แจงเจตนารมณ์ พ.ร.บ.ความรับผิดฯ ไม่เกี่ยวผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมอยู่แล้ว ชี้ไม่ต้องรับผิด ไม่จำเป็นออกกฎกระทรวงยกเว้น เตือนรัฐบาลพิจารณาให้ดี
นายจรัล ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะหนึ่งในผู้ร่วมผลักดัน พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ.2551 กล่าวว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการออกกฎกระทรวงยกเว้นสินค้าใดๆ เพราะแท้จริงแล้วกฎหมายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่มุ่งเน้นสินค้าที่เป็นตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งไม่ว่ายา เครื่องมือแพทย์ สารเสพติด วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ก็ล้วนอยู่ภายใต้กฎหมายนี้เช่นกัน แต่ไม่รวมถึงบริการ ดังนั้น การประกอบวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์ ทันตแพทย์ หรือพยาบาล เภสัชกร ฯลฯที่ให้บริการก็ไม่อยู่ในขอบเขตที่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมายนี้
“กฎหมายนี้จะดำเนินการเอาผิดกับผู้ผลิตและนำเข้าสินค้าที่ไม่ปลอดภัยต่างๆ เพื่อต้องการให้เกิดการปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานสินค้าให้ดียิ่งขึ้น ส่วนการนิยามศัพท์ในเรื่องของการผลิต ที่นิยามกว้างจนรวมไปถึง แยก บรรจุ ฯลฯ ทำให้กลุ่มวิชาชีพมีความเป็นห่วงนั้น ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้จะเน้นให้ผู้ผลิตรับผิดชอบ ไม่ได้หมายความถึงว่า บุคลากรวิชาชีพต้องรับผิด อาทิ แพทย์โรงพยาบาลรัฐจ่ายยาที่ซื้อมาเป็นจำนวนมาก เพราะมีราคาถูก มาแบ่งซองจ่ายให้คนไข้ หรือพยาบาลที่ต้องนำมาปรุงยาหลายขนาดเพื่อฉีดให้คนไข้นั้น ก็ไม่ได้รวมในกฎหมายนี้ด้วย”นายจรัล กล่าว
นายจรัล กล่าวต่อว่า กฎหมายดังกล่าวไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะในหลายประเทศได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้แล้ว อีกทั้งก็ไม่มีประเทศใดในโลกที่จะมีการยกเว้นสินค้าใดๆ และท้ายสุดหากมีการออกกฎกระทรวงยกเว้นสินค้าใด ประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่ที่ประชาชน หรือผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม แต่เป็นบริษัทผู้ผลิตยา เครื่องมือแพทย์ สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท และสารเสพติด ที่ไม่ต้องรับผิดชอบ หรือคุ้มครองผู้บริโภคเลย และผู้บริโภคจะสูญเสียความคุ้มครองไป
“ผมเชื่อว่า การดำเนินการในเรื่องนี้ คงไม่มีคดีใดจะฟ้องร้องเอาผิดกับแพทย์ที่จ่ายยาที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน แต่คงไปเอาผิดกับบริษัทยาที่ผลิตยาไม่ได้มาตรฐานมากกว่า ทั้งนี้ หากเป็นการสั่งยาผิดประเภทในการรักษาก็คงเป็นกฎหมายฉบับอื่น อาทิ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิด ทั้งนี้กรณีการออกกฎกระทรวงยกเว้นให้กับสินค้าที่เป็นภาคเกษตรกรรมบางประเภท ก็อาจจำเป็นได้รับความคุ้มครอง แต่ไม่ใช่สินค้า 4 ชนิดเช่นนี้”นายจรัล กล่าว
นายจรัล กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ หากเกิดความกังวลเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าวก็จำเป็นต้องมาหารือกันว่า ความสมดุลของความคุ้มครองประชาชนกับผู้ประกอบวิชาชีอยู่ที่จุดใด เพราะหากมองเพียงด้านใดด้านหนึ่งก็ไม่ได้ หากมองแต่ภาคประชาชนด้านเดียว ภาคผู้ประกอบวิชาชีพก็จะลำบาก แต่ถ้ามองผู้ประกอบวิชาชีพมากไปก็จะเป็นการทอดทิ้งประชาชนคนไทยกว่า 60 กว่าล้านคนทั่วประเทศ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และเป็นเรื่องอ่อนไหวมาก ดังนั้น หากมีความจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงยกเว้นจริงๆ จะต้องกลั่นกรองและรับฟังความเห็นข้อมูลจากหลายฝ่ายให้รอบครอบก่อนดำเนินการใดๆ ทั้งนี้รัฐบาลไม่ควรเร่งรีบที่จะดำเนินการยกเว้นสินค้าใดๆตามกฎหมายนี้ เพราะยิ่งจะสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้กับผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น และยิ่งไม่เป็นผลดีต่อทัศนคติของผู้บริโภคต่อผู้ประกอบวิชาชีพเพิ่มมากขึ้นด้วย”นายจรัล กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 2 มีนาคม เวลา 13.00 น.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เชิญ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค พร้อมด้วยเครือข่ายผู้บริโภค และผู้ประกอบวิชาชีพ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าหารือรายละเอียดในการออกกฎกระทรวงตาม พ.ร.บ.นี้ที่ทำเนียบรัฐบาล