แพทย์เผยฝุ่นจากไฟไหม้ในภาคเหนือ ไม่ต่างจากฝุ่นท่อไอเสียในเมืองกรุง มีผลทำให้เกิดโรคหัวใจได้มากขึ้น พบคนลำปางป่วยเป็นโรคหัวใตสูงสุด
นพ.สมเกียรติ ศิริรัตนพฤกษ์ รองผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ฝุ่นควันที่เกิดจากการเผาไหม้ส่งผลกระทบ ทำให้มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ และอาการทางตา นอกจากนี้ ฝุ่นขนาดที่เล็กกว่า 10 ไมครอนยังทำให้เกิดโรคหัวใจมากขึ้นด้วย โดยฝุ่นจะเข้าไปยังปอดในถุงลม เมื่อสิ่งแปลกปลอมเข้าไป ทำให้เม็ดเลือดขาวเข้าไปกำจัดสิ่งแปลกปลอมนี้ และเกิดการอักเสบในหลอดเลือดได้ ก่อให้เกิดอันตรายต่อปอด เช่น การอักเสบของถุงลมปอด และบางรายอักเสบมากจนทำให้เกิดการ หายใจลำบากจนถึงขั้นภาวะวิกฤตได้ หรืออาจทำให้หลอดเลือดหัวใจอักเสบได้ ซึ่งฝุ่นควันที่เกิดจากการเผาไหม้ในบริเวณภาคเหนือ ก็ทำให้เกิดอาการได้เช่นเดียวกันกับฝุ่นควันจากท่อไอเสียรถยนต์ใน กทม.
“ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า หากเพิ่มปริมาณฝุ่นทุก 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรจะทำให้เพิ่มอัตราการตายทุกสาเหตุ 4.5% เพิ่มอัตราการตายจากโรคระบบทางเดินหายใจ 9.8% เพิ่มอัตราการตายจากโรคหัวใจและหลอดเลือด 3.9% เพิ่มอัตราการตายในผู้สูงอายุที่มากกว่า 65ปี ถึง 5.4% ด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจมาก่อนเช่นภูมิแพ้ หอบหืด ถุงลมโป่งพอง และโรคหัวใจจะกระตุ้นให้อาการของโรครุนแรงขึ้น อย่างโรคหัวใจจะทำให้ชีพจรหัวใจเต้นเร็วด้วย”นพ.สมเกียรติ กล่าว
นพ.สมเกียรติ กล่าวว่า ทั้งนี้ จากการเฝ้าระวังสถานการณ์ของสธ.พบว่าสถานการณ์การเจ็บป่วยจากสำนักงานควบคุมโรคเขต 10 พบว่า ในปีงบประมาณ 2552 จำนวนโรคที่อาจเป็นผลกระทบมาจากหมอกควันมี 3 โรค ได้แก่ โรคหัวใจ โรคทางเดินหายใจ และโรคตาใกล้เคียงกันในแต่ละเดือน หรือมีจำนวนสูงขึ้นบ้างไม่มากนัก ยกเว้นจ.ลำพูน ที่เปรียบเทียบจำนวนผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.2551 มีจำนวนผู้ป่วยสูงขึ้น
“โรคหัวใจ จ.ลำปาง ป่วยสูงสุด เดือน ต.ค.29,238 ราย รองลงมา ธ.ค.29,208 ราย และเดือน พ.ย.26,501 ราย ถัดมาเป็น จ.แพร่ ประมาณ 4,471-4,882 ราย ถัดมาเป็น จ.เชียงใหม่ ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ส่วนโรคทางตา จ.ลำปาง ป่วย 3 เดือนใกล้เคียงกัน ประมาณ 4,390-5873 ราย รองมาเป็น จ.เชียงใหม่ 1,165-1,627 ราย และ จ.แพร่ แม่ฮ่องสอน และ ลำพูน ส่วนโรคทางเดินหายใจ จ.เชียงใหม่ มีผู้ป่วยสูงสุด ในเดือน พ.ย. 60,622 ราย รองลงมาเดือน ต.ค.50,467 ราย และ ธ.ค.42,800 ราย ถัดมาเป็น จ.ลำปาง ป่วยใกล้เคียงกันประมาณ 34,973-36,127 ราย และ จ.แม่ฮ่องสอน แพร่ และลำพูน ตามลำดับ” นพ.สมเกียรติ กล่าว
นพ.สมเกียรติ ศิริรัตนพฤกษ์ รองผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ฝุ่นควันที่เกิดจากการเผาไหม้ส่งผลกระทบ ทำให้มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ และอาการทางตา นอกจากนี้ ฝุ่นขนาดที่เล็กกว่า 10 ไมครอนยังทำให้เกิดโรคหัวใจมากขึ้นด้วย โดยฝุ่นจะเข้าไปยังปอดในถุงลม เมื่อสิ่งแปลกปลอมเข้าไป ทำให้เม็ดเลือดขาวเข้าไปกำจัดสิ่งแปลกปลอมนี้ และเกิดการอักเสบในหลอดเลือดได้ ก่อให้เกิดอันตรายต่อปอด เช่น การอักเสบของถุงลมปอด และบางรายอักเสบมากจนทำให้เกิดการ หายใจลำบากจนถึงขั้นภาวะวิกฤตได้ หรืออาจทำให้หลอดเลือดหัวใจอักเสบได้ ซึ่งฝุ่นควันที่เกิดจากการเผาไหม้ในบริเวณภาคเหนือ ก็ทำให้เกิดอาการได้เช่นเดียวกันกับฝุ่นควันจากท่อไอเสียรถยนต์ใน กทม.
“ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า หากเพิ่มปริมาณฝุ่นทุก 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรจะทำให้เพิ่มอัตราการตายทุกสาเหตุ 4.5% เพิ่มอัตราการตายจากโรคระบบทางเดินหายใจ 9.8% เพิ่มอัตราการตายจากโรคหัวใจและหลอดเลือด 3.9% เพิ่มอัตราการตายในผู้สูงอายุที่มากกว่า 65ปี ถึง 5.4% ด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจมาก่อนเช่นภูมิแพ้ หอบหืด ถุงลมโป่งพอง และโรคหัวใจจะกระตุ้นให้อาการของโรครุนแรงขึ้น อย่างโรคหัวใจจะทำให้ชีพจรหัวใจเต้นเร็วด้วย”นพ.สมเกียรติ กล่าว
นพ.สมเกียรติ กล่าวว่า ทั้งนี้ จากการเฝ้าระวังสถานการณ์ของสธ.พบว่าสถานการณ์การเจ็บป่วยจากสำนักงานควบคุมโรคเขต 10 พบว่า ในปีงบประมาณ 2552 จำนวนโรคที่อาจเป็นผลกระทบมาจากหมอกควันมี 3 โรค ได้แก่ โรคหัวใจ โรคทางเดินหายใจ และโรคตาใกล้เคียงกันในแต่ละเดือน หรือมีจำนวนสูงขึ้นบ้างไม่มากนัก ยกเว้นจ.ลำพูน ที่เปรียบเทียบจำนวนผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.2551 มีจำนวนผู้ป่วยสูงขึ้น
“โรคหัวใจ จ.ลำปาง ป่วยสูงสุด เดือน ต.ค.29,238 ราย รองลงมา ธ.ค.29,208 ราย และเดือน พ.ย.26,501 ราย ถัดมาเป็น จ.แพร่ ประมาณ 4,471-4,882 ราย ถัดมาเป็น จ.เชียงใหม่ ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ส่วนโรคทางตา จ.ลำปาง ป่วย 3 เดือนใกล้เคียงกัน ประมาณ 4,390-5873 ราย รองมาเป็น จ.เชียงใหม่ 1,165-1,627 ราย และ จ.แพร่ แม่ฮ่องสอน และ ลำพูน ส่วนโรคทางเดินหายใจ จ.เชียงใหม่ มีผู้ป่วยสูงสุด ในเดือน พ.ย. 60,622 ราย รองลงมาเดือน ต.ค.50,467 ราย และ ธ.ค.42,800 ราย ถัดมาเป็น จ.ลำปาง ป่วยใกล้เคียงกันประมาณ 34,973-36,127 ราย และ จ.แม่ฮ่องสอน แพร่ และลำพูน ตามลำดับ” นพ.สมเกียรติ กล่าว
