เจ้าอาวาสวัดยานนาวา แนะยุควิกฤตเศรษฐกิจดำเนินชีวิตแบบ “พอเพียง-พอเหมาะ-พอดี” ตามแนวพระราชดำริ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และน้อมนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า “มีสติ-ระลึกรู้” เพื่อให้เกิดปัญญา นำมาพัฒนาในการดำเนินชีวิต
พระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวาและกรรมการมหาเถรสมาคม กล่าวว่า ในปีพุทธศักราช 2552 เป็นที่คาดว่า ด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของประเทศยังไม่ปกตินัก โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจมีผลกระทบถึงการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ ฉะนั้นในการดำเนินชีวิตควรจะมีหลักยึด ซึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทานหลักธรรมะไว้อย่างง่ายว่า ในภาวะใดๆ ก็ตาม ถ้ามีสติ ระลึกรู้ถึงสภาวะฐานะ จะทำให้เกิดปัญญา นำมาพัฒนาในการดำเนินชีวิตได้ หรือการดำรงชีวิตแต่พอเพียงพอเหมาะพอดี ตามแนวพระราชดำริที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานแนวทางไว้
“ต้องปรับตัว รู้ประหยัด อดออม การใช้จ่ายต่างๆ อย่าสุรุ่ยสุร่าย และอย่าประมาทไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเสพติด หรืออบายมุขต่างๆ ที่นำพาให้แย่ลงกว่าเดิม จะทำให้ดำรงอยู่ได้ชั่วระยะหนึ่ง ในปี 2553-2554 เหตุการณ์ต่างๆ คงจะดีขึ้น ตามสุภาษิตโบราณบอกว่า อดเปรี้ยวไว้กินหวานทีหลังดีกว่ากินหวานแล้วจะอดอยากอยู่ไม่ได้ เป็นหลักที่ต้องนำไปใช้ในสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจของบ้านเมืองที่ไม่ปกติในปี 2552 แม้ว่าอาจจะดีกว่าที่คาดไว้ก็จะเป็นกำไร ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้จะมีเก็บ” พระพรหมวชิรญาณ กล่าว
พระพรหมวชิรญาณ กล่าวอีกว่า ในส่วนของพระสงฆ์คงจะมีผลกระทบเช่นกัน เพราะชีวิตความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ มีความเกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนิกชน เมื่อประชาชนมีความลำบาก มีความอัตคัดขัดสน ชีวิตความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ก็จะกระทบไปด้วย แต่พระสงฆ์มีแนวปฏิบัติอยู่แล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของพระฉันเพียง 2 มื้อ แต่ในเวลาที่ปฏิบัติจริงๆ ก็สามารถปรับลงมาฉันวันละ 1 มื้อได้ แต่การพัฒนาด้านอื่น เช่น การศึกษา การเผยแพร่ การก่อสร้าง จะต้องมีการปรับแผน ซึ่งคณะกรรมการต่างๆ ของวัด จะต้องมีการปรึกษาหารือกันในบทบาทต่างๆ
พระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวาและกรรมการมหาเถรสมาคม กล่าวว่า ในปีพุทธศักราช 2552 เป็นที่คาดว่า ด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของประเทศยังไม่ปกตินัก โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจมีผลกระทบถึงการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ ฉะนั้นในการดำเนินชีวิตควรจะมีหลักยึด ซึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทานหลักธรรมะไว้อย่างง่ายว่า ในภาวะใดๆ ก็ตาม ถ้ามีสติ ระลึกรู้ถึงสภาวะฐานะ จะทำให้เกิดปัญญา นำมาพัฒนาในการดำเนินชีวิตได้ หรือการดำรงชีวิตแต่พอเพียงพอเหมาะพอดี ตามแนวพระราชดำริที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานแนวทางไว้
“ต้องปรับตัว รู้ประหยัด อดออม การใช้จ่ายต่างๆ อย่าสุรุ่ยสุร่าย และอย่าประมาทไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเสพติด หรืออบายมุขต่างๆ ที่นำพาให้แย่ลงกว่าเดิม จะทำให้ดำรงอยู่ได้ชั่วระยะหนึ่ง ในปี 2553-2554 เหตุการณ์ต่างๆ คงจะดีขึ้น ตามสุภาษิตโบราณบอกว่า อดเปรี้ยวไว้กินหวานทีหลังดีกว่ากินหวานแล้วจะอดอยากอยู่ไม่ได้ เป็นหลักที่ต้องนำไปใช้ในสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจของบ้านเมืองที่ไม่ปกติในปี 2552 แม้ว่าอาจจะดีกว่าที่คาดไว้ก็จะเป็นกำไร ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้จะมีเก็บ” พระพรหมวชิรญาณ กล่าว
พระพรหมวชิรญาณ กล่าวอีกว่า ในส่วนของพระสงฆ์คงจะมีผลกระทบเช่นกัน เพราะชีวิตความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ มีความเกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนิกชน เมื่อประชาชนมีความลำบาก มีความอัตคัดขัดสน ชีวิตความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ก็จะกระทบไปด้วย แต่พระสงฆ์มีแนวปฏิบัติอยู่แล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของพระฉันเพียง 2 มื้อ แต่ในเวลาที่ปฏิบัติจริงๆ ก็สามารถปรับลงมาฉันวันละ 1 มื้อได้ แต่การพัฒนาด้านอื่น เช่น การศึกษา การเผยแพร่ การก่อสร้าง จะต้องมีการปรับแผน ซึ่งคณะกรรมการต่างๆ ของวัด จะต้องมีการปรึกษาหารือกันในบทบาทต่างๆ
