ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่วงเวลากว่า 4 เดือนนับแต่เดือนตุลาคม เป็นต้นมา คือ ช่วงเวลาสุดพิเศษของใครหลายๆ คน หลังจากรู้สึกได้ถึงลมเย็นที่พัดมาสัมผัสผิวกาย นั่นจึงเป็นสัญญาณที่บอกว่า “ลมหนาว” มาถึงแล้ว
หากมองมาที่คนกรุงต่างก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าปีนี้ หนาวเร็วและนานกว่าปกติ แต่ถึงอย่างไรหลายคนคงอยากภาวนาให้เมืองหลวงแห่งนี้ มีสภาพอากาศเช่นนี้ไปนานๆ ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อลมหนาวมาเยือนทั้งที สินค้าประเภทเครื่องนุ่งห่มก็ย่อมขายดิบขายดีเป็นธรรมดา เพราะด้วยการแต่งกายที่เน้นความอบอุ่นสอดรับกับแฟชั่นที่เข้ามา ทั้งจาก แดนกิมจิ แดนปลาดิบ ที่สาวๆ หลายคนถวิลหาก็ยิ่งทำให้การประชันการแต่งตัวในหน้าหนาวปีนี้คึกคักขึ้นมาทันตา
...แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ กำลังซื้อจะมากขึ้นหรือลดลงหรือไม่อย่างไรนั้นพ่อค้า แม่ค้า จากแหล่งช็อปชื่อดังทั้งหลายคงให้คำตอบได้ดีที่สุด
** “หนาวที่แล้วกำไรดีกว่า” ที่สวนจตุจักร
พี่ตูน - อัมราวดี ขีตตะสังคะ เจ้าของร้าน CIVILIZE ตลาดนัดสวนจตุจักร ที่ตั้งอยู่ภายในโครงการ 24 ซอย 3 และโครงการ 2 ซอย 2 ให้ข้อมูลว่า ในช่วงฤดูหนาวนี้ หากมองจากผู้คนที่อยู่ภายในกรุงเทพฯ อาจจะไม่ได้รับผลกระทบจากอากาศหนาวเท่าที่ควร เนื่องจากสภาพอากาศที่เป็นอยู่ก็เป็นเพียงแค่ลมเย็นๆ อากาศกำลังดี ไม่ถึงกับหนาวมาก แถมช่วงกลางวันยังมีอากาศที่ร้อนอบอ้าว ดังนั้น แฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายที่เหมาะกับคนเมือง จึงเป็นเพียงแค่ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ส่วนเสื้อก็จะนิยมเพียงแค่เสื้อไหมพรม และตลอดช่วงที่ผ่านมายอดขายก็ยังปกติ ทำให้คิดว่าอากาศหนาวไม่น่าจะมีผลให้คนซื้อมากซื้อน้อย เพราะมองแค่กรุงเทพฯ ก็มีอากาศหนาวช่วงสั้นลูกค้าส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่ากับเสื้อผ้าปกติ
“แต่หากเปรียบเทียบกับยอดขายจากปีที่แล้วก็ต้องยอมรับว่า ปีที่แล้วรายได้ดีกว่าปีนี้มาก แต่คงไม่ได้เป็นผลมาจากสภาพอากาศอย่างเดียว เพราะความจริงแล้วกลับเป็นช่วงหน้าฝนที่คนขายทุกร้านบ่นกันมาก เนื่องจากเมื่อฝนตก คนก็ไม่ออกจากบ้านมาซื้อของ ทำให้ในช่วงหน้าฝนยอดขายลดเป็นอย่างมาก แต่เหตุผลสำคัญคือเรื่องของภาวะเศรษฐกิจ เพราะช่วงนี้ผู้คนจะมีกำลังซื้อน้อย ส่วนใหญ่ก็จะใช้ของที่มีอยู่แล้ว” พี่ตูน อธิบาย
สำหรับการปรับตัวรับมือกับเศรษฐกิจซบเซานั้น พี่ตูน บอกว่า แน่นอนสิ่งที่กระทบจากเศรษฐกิจโดยตรงคือยอดขายที่ตกลงไปบ้าง แต่ก็อาศัยที่ทางร้านเปิดมานาน มีลูกค้าประจำมาอุดหนุน ซึ่งที่ร้านเองก็เลือกที่จะทำสินค้าที่มีคุณภาพ ทุนก็ไม่ต่างจากเดิมมากนัก และจะมีการปรับลดราคาบ้างเพื่อไม่ให้กระทบลูกค้าแต่อย่างไรก็ไม่ขาดทุน
** “เสื้อ-ผ้าพันคอ” กำไรลดลงที่วังหลัง
เช่นเดียวกันกับอีกแหล่งช็อบของมือสอง ราคาถูกอย่าง ตลาดวังหลัง ซึ่งการซื้อขายเสื้อผ้าแฟชั่นหน้าหนาวก็คึกคักไม่แพ้ที่อื่น โดย พี่เพชร - สิริกาญน์ อ้นอินทร์ เจ้าของร้านเสื้อหนาววังหลัง บอกว่า ลักษณะของเครื่องแต่งกายรับหน้าหนาวปีนี้ลูกค้าจะให้ความสนใจกับเสื้อผ้าเนื้อผ้าไม่หนามากนัก กระชับตัว และเน้นไปที่ชุดไหมพรมถัก สีพื้นตามแฟชั่นเป็นพิเศษ ซึ่งราคาที่ขายก็อยู่ที่ 200-300 บาท แน่นอนว่าลูกค้าส่วนใหญ่คือเหล่านักศึกษาหญิง
“ยอมรับว่า ในปีนี้มีแฟชั่นใหม่ๆ จากต่างประเทศเข้ามามาก คนให้ความสนใจก็จริงอยู่ แต่หากดูจากยอดขายจะเห็นว่าตกลงจากปีที่แล้วกว่าครึ่ง เมื่อก่อนขายได้วันละกว่า 100 ตัว แต่ปัจจุบันนี้ตกวันละ 50-60 ตัวเท่านั้น”พี่เพชร บอก
ทางฝั่งของ พี่ต่าย - อานัส รักษาวงศ์ พ่อค้าขายผ้าพันคอแฟชั่น วังหลัง ให้ข้อมูลเช่นเดียวกันว่า ในช่วงหนาวนี้ผ้าพันคอ ถือได้ว่าเป็นสินค้ายอดนิยมอีกชิ้นหนึ่งสำหรับแฟชั่นการแต่งกาย ซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถขายได้ทั้งปี แต่หน้าหนาวก็จะขายดีกว่าช่วงอื่นๆ ที่ลูกค้านิยมผ้าพันคอคงมาจากความสะดวก ง่ายต่อการพกพา ทั้งยังช่วยเสริมรูปแบบการแต่งกายให้ดูสวยงามขึ้น ที่สำคัญอากาศภายในกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้หนาวมากมายอย่างต่างจังหวัด เป็นเพียงแค่ลมเย็นๆ ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใส่เสื้อหนาวหนาๆ ใช้เพียงผ้าพันคอจึงเหมาะสมมากกว่า
พี่ต่าย บอกอีกว่า สำหรับผ้าพันคอที่ขายดีที่สุดจะมีเนื้อผ้าหนา มีทั้งลวดลาย และลายพื้นๆ มีขนเฟอร์และเป็นไหมพรมถัก ซึ่งก็แล้วแต่ลูกค้าชอบ ในส่วนราคาที่ขายนั้นเริ่มตั้งแต่ผืนละ 40 บาท จนถึงหลักร้อย ด้านยอดขายสำหรับปีนี้ก็ยังดีอยู่ แต่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาจะขายดีกว่าตกวันละ 2,000-3,000 บาท แต่ตอนนี้ขายได้วันละ 1,000 บาทเท่านั้น
** ของนำเข้า (เข้าเนื้อ) เต็มๆ ที่สยาม
ทางฝั่งย่านการค้าและแหล่งรวมตัวของวัยรุ่นอย่าง สยามสแควร์ ก็ไม่ได้แตกต่างกัน โดย พี่เอ๋ - ศรัญญา สังข์สุวรรณ จากร้าน SABAYA สยามสแควร์ ซอย 9 เล่าให้ฟังว่า ปีนี้กรุงเทพฯหนาวนานกว่าปกติ เสื้อผ้าแฟชั่นรับลมหนาวจึงขายดีมาก โดยที่วัยรุ่นให้ความสนใจคงต้องยกให้เสื้อแขนยาว เนื้อผ้าหนาๆ หรือลักษณะของเสื้อแจ๊กเก็ตที่มีขนเฟอร์เป็นส่วนประกอบ และมีลวดลายสดใส เน้นลวดลาย สีสันสะดุดตา และที่นิยมไม่แพ้กันคงหนีไม่พ้นผ้าพันคอที่ตอนนี้ถือได้ว่าเป็นเหมือนเครื่องประดับอีกชิ้นของร่างกายก็ว่าได้
พี่เอ๋ ยังบอกอีกว่า จากที่เห็นว่าสินค้าได้รับความนิยมแต่อย่างไรก็สู้ปีที่แล้วไม่ได้ เหตุผลสำคัญคงหนีไม่พ้นปัญหาเศรษฐกิจที่ทรุดหนักทั่วโลก ผลกระทบจึงตกมาสู่ทางร้านด้วย เนื่องจากสินค้าภายในร้านส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น เกาหลี ฮ่องกง ดังนั้น สิ่งที่เป็นปัญหาอย่างมากคือเรื่องของค่าเงินที่ไม่มีความคงที่ ทำให้เงินในจำนวนเท่ากันแต่กลับซื้อสินค้าได้น้อยลง อีกทั้งราคาของสินค้าแต่ละชนิดก็เพิ่มขึ้นหากเทียบเป็นเงินไทยก็กว่า 10 บาท ถึงแม้ราคาต้นทุนจะเพิ่มสูงขึ้นแต่ก็ยังต้องขายในราคาเดิมเนื่องจากกลัวเสียลูกค้า แต่เมื่อต้องพบกับปัญหาดังกล่าวก็ยังพอรับได้ไม่ถึงกับขาดทุน แต่กำไรลดลงอย่างเห็นได้ชัด
** ลายสกอตมาแรงที่ เดอะแพลตตินั่ม
ด้านตลาดขายส่งสินค้าแฟชั่นชื่อดังอย่าง เดอะแพลตตินั่ม ประตูน้ำ ก็เช่นกันซึ่ง พี่แป้ง - ภีสพัฒน์ เจริญเนติศาสตร์ เจ้าของร้านเสื้อผ้าขายส่ง/ปลีก ZENA ชั้น 1 บอกว่า สินค้าในร้านที่ขายดีที่สุดในช่วงหนาวนี้เห็นจะเป็นเสื้อผ้าฝ้ายแนบเนื้อสีพื้น และเสื้อหนาวที่จะเน้นลายสกอต เสื้อไหมพรมที่มีเนื้อผ้าหนาๆ นอกจากนี้ ยังมีผ้าพันคอลายสกอตอีกเช่นกัน ที่มีทั้งเป็นผืนเล็กๆ และแบบผ้าสามเหลี่ยมคลุมไหล่ สนนราคาของเสื้ออยู่ที่ราคาขายส่งตัวละ 160 บาท และขายปลีกตัวละ 250 บาท ส่วนผ้าพันคอขายส่งชิ้นละ 100 บาท ขายปลีกที่ 199-290 บาท
“ปีนี้ยอดขายก็พอได้ แต่ปีก่อนดีกว่ามาก อุปสรรคที่ทำให้คนซื้อหายไปเยอะคงอยู่ที่เรื่องของการเมืองจนส่งผลให้เศรษฐกิจซบเซา ผู้คนมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น แต่เลือกที่จะซื้อเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับน้อยลง เห็นได้ชัดว่าลูกค้าปลีกอย่างพวกนักศึกษา วัยรุ่นจะเงียบไป แต่ที่อยู่ได้คงเป็นเพราะลูกค้าซื้อในราคาขายส่งเป็นส่วนใหญ่โดยจะมารับของไปขายยังต่างจังหวัด และเท่าที่ทราบมาจะขายดีกว่าในกรุงเทพฯ มาก ซึ่งตอนนี้เชื่อว่าหลายๆ ร้านคงเป็นเหมือนกันที่ไม่ถึงกับขาดทุนมากนัก แต่กำไรไม่รู้ว่าหายไปอยู่ไหนหมด”พี่แป้งปิดท้าย
จากตลาดแฟชั่นทั่วเมืองกรุง พ่อค้า แม่ค้า ทั้งหลายประสานเป็นเสียงเดียวกันว่า ถึงแม้แฟชั่นใหม่จะเข้ามามากมาย ทั้งเสื้อหนาวตามแฟชั่น และผ้าพันคอ แต่ผลที่ได้รับตามมา คือ “กำไรหดกว่าปีที่แล้วมาก” ฉะนั้น ลมหนาวที่มาเยือนกรุงเทพฯ นานผิดปกติไม่เพียงแค่ทำให้คนเมืองหนาวกายเพียงอย่างเดียว แต่คงต้อง “ร้อนๆ หนาวๆ” กับเรื่องเงินๆ ทองๆ ด้วยก็เป็นได้...
หากมองมาที่คนกรุงต่างก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าปีนี้ หนาวเร็วและนานกว่าปกติ แต่ถึงอย่างไรหลายคนคงอยากภาวนาให้เมืองหลวงแห่งนี้ มีสภาพอากาศเช่นนี้ไปนานๆ ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อลมหนาวมาเยือนทั้งที สินค้าประเภทเครื่องนุ่งห่มก็ย่อมขายดิบขายดีเป็นธรรมดา เพราะด้วยการแต่งกายที่เน้นความอบอุ่นสอดรับกับแฟชั่นที่เข้ามา ทั้งจาก แดนกิมจิ แดนปลาดิบ ที่สาวๆ หลายคนถวิลหาก็ยิ่งทำให้การประชันการแต่งตัวในหน้าหนาวปีนี้คึกคักขึ้นมาทันตา
...แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ กำลังซื้อจะมากขึ้นหรือลดลงหรือไม่อย่างไรนั้นพ่อค้า แม่ค้า จากแหล่งช็อปชื่อดังทั้งหลายคงให้คำตอบได้ดีที่สุด
** “หนาวที่แล้วกำไรดีกว่า” ที่สวนจตุจักร
พี่ตูน - อัมราวดี ขีตตะสังคะ เจ้าของร้าน CIVILIZE ตลาดนัดสวนจตุจักร ที่ตั้งอยู่ภายในโครงการ 24 ซอย 3 และโครงการ 2 ซอย 2 ให้ข้อมูลว่า ในช่วงฤดูหนาวนี้ หากมองจากผู้คนที่อยู่ภายในกรุงเทพฯ อาจจะไม่ได้รับผลกระทบจากอากาศหนาวเท่าที่ควร เนื่องจากสภาพอากาศที่เป็นอยู่ก็เป็นเพียงแค่ลมเย็นๆ อากาศกำลังดี ไม่ถึงกับหนาวมาก แถมช่วงกลางวันยังมีอากาศที่ร้อนอบอ้าว ดังนั้น แฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายที่เหมาะกับคนเมือง จึงเป็นเพียงแค่ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ส่วนเสื้อก็จะนิยมเพียงแค่เสื้อไหมพรม และตลอดช่วงที่ผ่านมายอดขายก็ยังปกติ ทำให้คิดว่าอากาศหนาวไม่น่าจะมีผลให้คนซื้อมากซื้อน้อย เพราะมองแค่กรุงเทพฯ ก็มีอากาศหนาวช่วงสั้นลูกค้าส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่ากับเสื้อผ้าปกติ
“แต่หากเปรียบเทียบกับยอดขายจากปีที่แล้วก็ต้องยอมรับว่า ปีที่แล้วรายได้ดีกว่าปีนี้มาก แต่คงไม่ได้เป็นผลมาจากสภาพอากาศอย่างเดียว เพราะความจริงแล้วกลับเป็นช่วงหน้าฝนที่คนขายทุกร้านบ่นกันมาก เนื่องจากเมื่อฝนตก คนก็ไม่ออกจากบ้านมาซื้อของ ทำให้ในช่วงหน้าฝนยอดขายลดเป็นอย่างมาก แต่เหตุผลสำคัญคือเรื่องของภาวะเศรษฐกิจ เพราะช่วงนี้ผู้คนจะมีกำลังซื้อน้อย ส่วนใหญ่ก็จะใช้ของที่มีอยู่แล้ว” พี่ตูน อธิบาย
สำหรับการปรับตัวรับมือกับเศรษฐกิจซบเซานั้น พี่ตูน บอกว่า แน่นอนสิ่งที่กระทบจากเศรษฐกิจโดยตรงคือยอดขายที่ตกลงไปบ้าง แต่ก็อาศัยที่ทางร้านเปิดมานาน มีลูกค้าประจำมาอุดหนุน ซึ่งที่ร้านเองก็เลือกที่จะทำสินค้าที่มีคุณภาพ ทุนก็ไม่ต่างจากเดิมมากนัก และจะมีการปรับลดราคาบ้างเพื่อไม่ให้กระทบลูกค้าแต่อย่างไรก็ไม่ขาดทุน
** “เสื้อ-ผ้าพันคอ” กำไรลดลงที่วังหลัง
เช่นเดียวกันกับอีกแหล่งช็อบของมือสอง ราคาถูกอย่าง ตลาดวังหลัง ซึ่งการซื้อขายเสื้อผ้าแฟชั่นหน้าหนาวก็คึกคักไม่แพ้ที่อื่น โดย พี่เพชร - สิริกาญน์ อ้นอินทร์ เจ้าของร้านเสื้อหนาววังหลัง บอกว่า ลักษณะของเครื่องแต่งกายรับหน้าหนาวปีนี้ลูกค้าจะให้ความสนใจกับเสื้อผ้าเนื้อผ้าไม่หนามากนัก กระชับตัว และเน้นไปที่ชุดไหมพรมถัก สีพื้นตามแฟชั่นเป็นพิเศษ ซึ่งราคาที่ขายก็อยู่ที่ 200-300 บาท แน่นอนว่าลูกค้าส่วนใหญ่คือเหล่านักศึกษาหญิง
“ยอมรับว่า ในปีนี้มีแฟชั่นใหม่ๆ จากต่างประเทศเข้ามามาก คนให้ความสนใจก็จริงอยู่ แต่หากดูจากยอดขายจะเห็นว่าตกลงจากปีที่แล้วกว่าครึ่ง เมื่อก่อนขายได้วันละกว่า 100 ตัว แต่ปัจจุบันนี้ตกวันละ 50-60 ตัวเท่านั้น”พี่เพชร บอก
ทางฝั่งของ พี่ต่าย - อานัส รักษาวงศ์ พ่อค้าขายผ้าพันคอแฟชั่น วังหลัง ให้ข้อมูลเช่นเดียวกันว่า ในช่วงหนาวนี้ผ้าพันคอ ถือได้ว่าเป็นสินค้ายอดนิยมอีกชิ้นหนึ่งสำหรับแฟชั่นการแต่งกาย ซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถขายได้ทั้งปี แต่หน้าหนาวก็จะขายดีกว่าช่วงอื่นๆ ที่ลูกค้านิยมผ้าพันคอคงมาจากความสะดวก ง่ายต่อการพกพา ทั้งยังช่วยเสริมรูปแบบการแต่งกายให้ดูสวยงามขึ้น ที่สำคัญอากาศภายในกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้หนาวมากมายอย่างต่างจังหวัด เป็นเพียงแค่ลมเย็นๆ ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใส่เสื้อหนาวหนาๆ ใช้เพียงผ้าพันคอจึงเหมาะสมมากกว่า
พี่ต่าย บอกอีกว่า สำหรับผ้าพันคอที่ขายดีที่สุดจะมีเนื้อผ้าหนา มีทั้งลวดลาย และลายพื้นๆ มีขนเฟอร์และเป็นไหมพรมถัก ซึ่งก็แล้วแต่ลูกค้าชอบ ในส่วนราคาที่ขายนั้นเริ่มตั้งแต่ผืนละ 40 บาท จนถึงหลักร้อย ด้านยอดขายสำหรับปีนี้ก็ยังดีอยู่ แต่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาจะขายดีกว่าตกวันละ 2,000-3,000 บาท แต่ตอนนี้ขายได้วันละ 1,000 บาทเท่านั้น
** ของนำเข้า (เข้าเนื้อ) เต็มๆ ที่สยาม
ทางฝั่งย่านการค้าและแหล่งรวมตัวของวัยรุ่นอย่าง สยามสแควร์ ก็ไม่ได้แตกต่างกัน โดย พี่เอ๋ - ศรัญญา สังข์สุวรรณ จากร้าน SABAYA สยามสแควร์ ซอย 9 เล่าให้ฟังว่า ปีนี้กรุงเทพฯหนาวนานกว่าปกติ เสื้อผ้าแฟชั่นรับลมหนาวจึงขายดีมาก โดยที่วัยรุ่นให้ความสนใจคงต้องยกให้เสื้อแขนยาว เนื้อผ้าหนาๆ หรือลักษณะของเสื้อแจ๊กเก็ตที่มีขนเฟอร์เป็นส่วนประกอบ และมีลวดลายสดใส เน้นลวดลาย สีสันสะดุดตา และที่นิยมไม่แพ้กันคงหนีไม่พ้นผ้าพันคอที่ตอนนี้ถือได้ว่าเป็นเหมือนเครื่องประดับอีกชิ้นของร่างกายก็ว่าได้
พี่เอ๋ ยังบอกอีกว่า จากที่เห็นว่าสินค้าได้รับความนิยมแต่อย่างไรก็สู้ปีที่แล้วไม่ได้ เหตุผลสำคัญคงหนีไม่พ้นปัญหาเศรษฐกิจที่ทรุดหนักทั่วโลก ผลกระทบจึงตกมาสู่ทางร้านด้วย เนื่องจากสินค้าภายในร้านส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น เกาหลี ฮ่องกง ดังนั้น สิ่งที่เป็นปัญหาอย่างมากคือเรื่องของค่าเงินที่ไม่มีความคงที่ ทำให้เงินในจำนวนเท่ากันแต่กลับซื้อสินค้าได้น้อยลง อีกทั้งราคาของสินค้าแต่ละชนิดก็เพิ่มขึ้นหากเทียบเป็นเงินไทยก็กว่า 10 บาท ถึงแม้ราคาต้นทุนจะเพิ่มสูงขึ้นแต่ก็ยังต้องขายในราคาเดิมเนื่องจากกลัวเสียลูกค้า แต่เมื่อต้องพบกับปัญหาดังกล่าวก็ยังพอรับได้ไม่ถึงกับขาดทุน แต่กำไรลดลงอย่างเห็นได้ชัด
** ลายสกอตมาแรงที่ เดอะแพลตตินั่ม
ด้านตลาดขายส่งสินค้าแฟชั่นชื่อดังอย่าง เดอะแพลตตินั่ม ประตูน้ำ ก็เช่นกันซึ่ง พี่แป้ง - ภีสพัฒน์ เจริญเนติศาสตร์ เจ้าของร้านเสื้อผ้าขายส่ง/ปลีก ZENA ชั้น 1 บอกว่า สินค้าในร้านที่ขายดีที่สุดในช่วงหนาวนี้เห็นจะเป็นเสื้อผ้าฝ้ายแนบเนื้อสีพื้น และเสื้อหนาวที่จะเน้นลายสกอต เสื้อไหมพรมที่มีเนื้อผ้าหนาๆ นอกจากนี้ ยังมีผ้าพันคอลายสกอตอีกเช่นกัน ที่มีทั้งเป็นผืนเล็กๆ และแบบผ้าสามเหลี่ยมคลุมไหล่ สนนราคาของเสื้ออยู่ที่ราคาขายส่งตัวละ 160 บาท และขายปลีกตัวละ 250 บาท ส่วนผ้าพันคอขายส่งชิ้นละ 100 บาท ขายปลีกที่ 199-290 บาท
“ปีนี้ยอดขายก็พอได้ แต่ปีก่อนดีกว่ามาก อุปสรรคที่ทำให้คนซื้อหายไปเยอะคงอยู่ที่เรื่องของการเมืองจนส่งผลให้เศรษฐกิจซบเซา ผู้คนมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น แต่เลือกที่จะซื้อเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับน้อยลง เห็นได้ชัดว่าลูกค้าปลีกอย่างพวกนักศึกษา วัยรุ่นจะเงียบไป แต่ที่อยู่ได้คงเป็นเพราะลูกค้าซื้อในราคาขายส่งเป็นส่วนใหญ่โดยจะมารับของไปขายยังต่างจังหวัด และเท่าที่ทราบมาจะขายดีกว่าในกรุงเทพฯ มาก ซึ่งตอนนี้เชื่อว่าหลายๆ ร้านคงเป็นเหมือนกันที่ไม่ถึงกับขาดทุนมากนัก แต่กำไรไม่รู้ว่าหายไปอยู่ไหนหมด”พี่แป้งปิดท้าย
จากตลาดแฟชั่นทั่วเมืองกรุง พ่อค้า แม่ค้า ทั้งหลายประสานเป็นเสียงเดียวกันว่า ถึงแม้แฟชั่นใหม่จะเข้ามามากมาย ทั้งเสื้อหนาวตามแฟชั่น และผ้าพันคอ แต่ผลที่ได้รับตามมา คือ “กำไรหดกว่าปีที่แล้วมาก” ฉะนั้น ลมหนาวที่มาเยือนกรุงเทพฯ นานผิดปกติไม่เพียงแค่ทำให้คนเมืองหนาวกายเพียงอย่างเดียว แต่คงต้อง “ร้อนๆ หนาวๆ” กับเรื่องเงินๆ ทองๆ ด้วยก็เป็นได้...