คณะกรรมการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขององค์การอนามัยโลก ลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์จากผู้แทนของ 11 ประเทศภาคีสมาชิกองค์การอนามัยโลกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ นพ.สำลี เปลี่ยนบางช้าง ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อเนื่องเป็นสมัยที่ 2
วานนี้ (9 ก.ย.) ที่สำนักงานองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ในการประชุมคณะกรรมการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขององค์การอนามัยโลก สมัยที่ 61 ได้มีการลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์จากผู้แทนของ 11 ประเทศภาคีสมาชิกองค์การอนามัยโลกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้นพ.สำลี เปลี่ยนบางช้าง ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อเนื่องเป็นสมัยที่ 2 โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2551-2557 โดยคณะกรรมการบริการองค์การอนามัยโลก(WHO Executive Board) จะมีการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวในเดือนมกราคม 2552 นี้
นพ.สำลี กล่าวว่า สำหรับนโยบายในการบริการงานในอีก 5 ปีข้างหน้า คือ จะเน้นการประชาสัมพันธ์ และสนับสนุนประเทศสมาชิกในการดำเนินงานโดยใช้แนวคิดทางสาธารณสุขมูลฐานเพื่อนำไปสู่เป้าหมายสุขภาพดีถ้วนหน้าเพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน และเป็นเป้าหมายทางสังคมของทุกประเทศ สนับสนุนการพัฒนาระบบสาธารณสุข ส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันและควบคุมโรค สนับสนุนให้ประเทศต่างๆ มีการเตรียมทรัพยากรทั้งด้านบุคลากรและงบประมาณเพื่อดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจากนี้ จะดำเนินงานต่อเนื่องจาก 5 ปีที่ผ่านมา ทั้ง 4 ด้าน คือ 1.พัฒนาระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรสาธารณสุข โดยเน้นเรื่องการศึกษาและการอบรม 2.ระดมทรัพยากรภายนอกเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด 3.การกระจายอำนาจการดำเนินงานให้กับผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศสมาชิกและให้การสนับสนุนประเทศสมาชิก และ 4.สนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการดำเนินงานด้านสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดน
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550 มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนให้ นพ.สำลี ลงสมัครรับเลือกเป็นผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นสมัยที่ 2 ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เสนอ เนื่องจาก นพ.สำลี เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์สูงในการปฏิบัติงานในองค์การอนามัยโลก อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้คนไทยได้ดำรงตำแหน่งระดับผู้บริการองค์การระหว่างประเทศที่มีบทบาทสำคัญด้านสาธารณสุขในระดับโลก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของไทยในเวทีสากลด้วย
วานนี้ (9 ก.ย.) ที่สำนักงานองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ในการประชุมคณะกรรมการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขององค์การอนามัยโลก สมัยที่ 61 ได้มีการลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์จากผู้แทนของ 11 ประเทศภาคีสมาชิกองค์การอนามัยโลกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้นพ.สำลี เปลี่ยนบางช้าง ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อเนื่องเป็นสมัยที่ 2 โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2551-2557 โดยคณะกรรมการบริการองค์การอนามัยโลก(WHO Executive Board) จะมีการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวในเดือนมกราคม 2552 นี้
นพ.สำลี กล่าวว่า สำหรับนโยบายในการบริการงานในอีก 5 ปีข้างหน้า คือ จะเน้นการประชาสัมพันธ์ และสนับสนุนประเทศสมาชิกในการดำเนินงานโดยใช้แนวคิดทางสาธารณสุขมูลฐานเพื่อนำไปสู่เป้าหมายสุขภาพดีถ้วนหน้าเพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน และเป็นเป้าหมายทางสังคมของทุกประเทศ สนับสนุนการพัฒนาระบบสาธารณสุข ส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันและควบคุมโรค สนับสนุนให้ประเทศต่างๆ มีการเตรียมทรัพยากรทั้งด้านบุคลากรและงบประมาณเพื่อดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจากนี้ จะดำเนินงานต่อเนื่องจาก 5 ปีที่ผ่านมา ทั้ง 4 ด้าน คือ 1.พัฒนาระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรสาธารณสุข โดยเน้นเรื่องการศึกษาและการอบรม 2.ระดมทรัพยากรภายนอกเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด 3.การกระจายอำนาจการดำเนินงานให้กับผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศสมาชิกและให้การสนับสนุนประเทศสมาชิก และ 4.สนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการดำเนินงานด้านสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดน
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550 มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนให้ นพ.สำลี ลงสมัครรับเลือกเป็นผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นสมัยที่ 2 ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เสนอ เนื่องจาก นพ.สำลี เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์สูงในการปฏิบัติงานในองค์การอนามัยโลก อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้คนไทยได้ดำรงตำแหน่งระดับผู้บริการองค์การระหว่างประเทศที่มีบทบาทสำคัญด้านสาธารณสุขในระดับโลก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของไทยในเวทีสากลด้วย
