สพฐ.เดินหน้าดันโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย 12 แห่งทั่วประเทศเป็นองค์การมหาชน คาด ปีการศึกษา 2552 จะสามารถตั้งเป็นองค์การมหาชนได้ 4-5 แห่ง พร้อมเร่งจัดสรรงบประมาณให้สถานศึกษาโดยตรง ไม่ผ่าน สพท.เพื่อกระจายอำนาจให้โรงเรียนเป็นนิติบุคคล
นายสมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการกระจายอำนาจให้สถานศึกษาว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เสนอแนวทางการกระจายอำนาจให้แก่สถานศึกษา เพื่อความเป็นอิสระและคล่องตัวในการบริหารจัดการ ต่อคณะทำงานศึกษาแนวทางการแยกการบริหารจัดการมัธยมศึกษาและประถมศึกษา ซึ่งมี ศ.ดร.สมหวัง พิพิยานุวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เป็นประธาน เป็น 2 รูปแบบ คือ 1.การให้สถานศึกษาเป็นองค์การมหาชน และ 2.การให้สถานศึกษาเป็นนิติบุคคล โดยในส่วนของสถานศึกษาองค์การมหาชนนั้น สพฐ.มีเป้าหมายที่จะให้โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวน 12 แห่งทั่วประเทศ ได้รับการกระจายอำนาจในรูปแบบขององค์การมหาชน ซึ่งคาดว่าน่าจะมีโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยที่มีความพร้อม ประมาณ 4-5 แห่งเป็นองค์การมหาชนได้ในปีการศึกษา 2552 แต่การเป็นองค์การมหาชนยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับสถานภาพของบุคลากร เพราะต้องเปลี่ยนสถานภาพจากข้าราชการเป็นเจ้าหน้าที่ขององค์การมหาชน ดังนั้น จึงต้องมีการสร้างความชัดเจนและทำความเข้าใจกับบุคลากร ว่าประโยชน์ที่เคยได้รับจะไม่ลดลง
รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าวอีกว่า ส่วนรูปแบบสถานศึกษาเป็นนิติบุคคลนั้น ที่ผ่านมาได้มีการกระจายอำนาจด้านวิชาการ และการบริหารงานทั่วไปให้แก่สถานศึกษาแล้ว สิ่งที่จะเร่งทำต่อไปคือ การจัดสรรงบประมาณตรงให้กับสถานศึกษาโดยไม่ต้องผ่านสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) ซึ่งจะพยายามจัดสรรในรูปของวงเงินรวม เพื่อให้สถานศึกษามีอิสระในการใช้งบประมาณอย่างแท้จริง โดยงบฯ ที่จะจัดสรรจะแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
1.งบบุคลากร ที่จัดสรรตามเกณฑ์อัตรากำลังครู โดยสถานศึกษาที่ขาดครูจะจัดสรรงบบุคลากรในส่วนที่ขาดเป็นหมวดงบดำเนินงานให้ ซึ่งหากสถานศึกษาประหยัดงบฯ ในส่วนนี้ก็สามารถนำไปใช้ในเรื่องอื่นตามความต้องการของสถานศึกษาได้ 2.งบลงทุน จะจัดสรรตามเกณฑ์มาตรฐานครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง โดยให้จัดทำโครงการเสนอผ่าน สพท. และ 3.งบปฏิบัติการที่จัดให้สถานศึกษาดำเนินงานประจำเป็นเงินอุดหนุนรายหัว และงบที่จัดให้สถานศึกษา โดยกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดที่สถานศึกษาต้องดำเนินการให้สำเร็จ ซึ่งจะมีการจัดทำเป็นเมนูให้สถานศึกษาเลือก อาทิ การพัฒนาภาษาอังกฤษ การพัฒนาทักษะการอ่าน
นายสมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการกระจายอำนาจให้สถานศึกษาว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เสนอแนวทางการกระจายอำนาจให้แก่สถานศึกษา เพื่อความเป็นอิสระและคล่องตัวในการบริหารจัดการ ต่อคณะทำงานศึกษาแนวทางการแยกการบริหารจัดการมัธยมศึกษาและประถมศึกษา ซึ่งมี ศ.ดร.สมหวัง พิพิยานุวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เป็นประธาน เป็น 2 รูปแบบ คือ 1.การให้สถานศึกษาเป็นองค์การมหาชน และ 2.การให้สถานศึกษาเป็นนิติบุคคล โดยในส่วนของสถานศึกษาองค์การมหาชนนั้น สพฐ.มีเป้าหมายที่จะให้โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย จำนวน 12 แห่งทั่วประเทศ ได้รับการกระจายอำนาจในรูปแบบขององค์การมหาชน ซึ่งคาดว่าน่าจะมีโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยที่มีความพร้อม ประมาณ 4-5 แห่งเป็นองค์การมหาชนได้ในปีการศึกษา 2552 แต่การเป็นองค์การมหาชนยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับสถานภาพของบุคลากร เพราะต้องเปลี่ยนสถานภาพจากข้าราชการเป็นเจ้าหน้าที่ขององค์การมหาชน ดังนั้น จึงต้องมีการสร้างความชัดเจนและทำความเข้าใจกับบุคลากร ว่าประโยชน์ที่เคยได้รับจะไม่ลดลง
รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าวอีกว่า ส่วนรูปแบบสถานศึกษาเป็นนิติบุคคลนั้น ที่ผ่านมาได้มีการกระจายอำนาจด้านวิชาการ และการบริหารงานทั่วไปให้แก่สถานศึกษาแล้ว สิ่งที่จะเร่งทำต่อไปคือ การจัดสรรงบประมาณตรงให้กับสถานศึกษาโดยไม่ต้องผ่านสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) ซึ่งจะพยายามจัดสรรในรูปของวงเงินรวม เพื่อให้สถานศึกษามีอิสระในการใช้งบประมาณอย่างแท้จริง โดยงบฯ ที่จะจัดสรรจะแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
1.งบบุคลากร ที่จัดสรรตามเกณฑ์อัตรากำลังครู โดยสถานศึกษาที่ขาดครูจะจัดสรรงบบุคลากรในส่วนที่ขาดเป็นหมวดงบดำเนินงานให้ ซึ่งหากสถานศึกษาประหยัดงบฯ ในส่วนนี้ก็สามารถนำไปใช้ในเรื่องอื่นตามความต้องการของสถานศึกษาได้ 2.งบลงทุน จะจัดสรรตามเกณฑ์มาตรฐานครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง โดยให้จัดทำโครงการเสนอผ่าน สพท. และ 3.งบปฏิบัติการที่จัดให้สถานศึกษาดำเนินงานประจำเป็นเงินอุดหนุนรายหัว และงบที่จัดให้สถานศึกษา โดยกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดที่สถานศึกษาต้องดำเนินการให้สำเร็จ ซึ่งจะมีการจัดทำเป็นเมนูให้สถานศึกษาเลือก อาทิ การพัฒนาภาษาอังกฤษ การพัฒนาทักษะการอ่าน
