ปิดม่านไปแล้ว “สัปดาห์เยี่ยมบ้านนักเรียน” ที่ผู้บริหารระดับบิ๊กของกระทรวงศึกษาธิการ เดินสายตระเวนเยี่ยมบ้านนักเรียน เสมือนนักสืบเจาะลึกข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของนักเรียน นักเรียนรายใดตกอยู่ในสภาวะลำบาก ก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เพียงเพื่อให้เด็กตัวน้อยๆ มีคุณภาพชีวิตของนักเรียนดีขึ้นแล้วมาเรียนหนังสือเหมือนเด็กทั่วไป
และหนึ่งในพื้นที่ที่คณะของคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เดินทางไปก็คือบ้านของเด็กเรียนบนเกาะยาว จ.พังงา
บ้านหลังแรกที่คณะของคุณหญิงไปเยือนเป็นบ้านของครอบครัวผู้พิการตระกูล “บ้านนบ” ชีวิตของเด็กๆ ที่นี่มีสภาพความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบากเนื่องจากพ่อแม่ตาบอด มีลูก 5 คน มีลูกอยู่วัยเรียน 3 คน คือ ด.ช.จตุพล เรียนชั้น ม.3 ด.ช.สันติ เรียนชั้น ม.2 และ ด.ญ.กัญยารัตน์ เรียนชั้น ป.1 ทุกคนเรียนอยู่โรงเรียนอ่าวกะพ้อ ส่วนลูกคนที่ 4 พิการ และลูกคนเล็กอายุ 7 เดือน นอกจากนี้ยังมีย่าและน้า พักอาศัยรวมอยู่ด้วย
จะว่ากันไปแล้วครอบครัวนี้มี 9 ชีวิต ขณะที่มีเพียง “ร้อเหม บ้านนบ” ผู้เป็นพ่อ ซึ่งตาบอดต้องดิ้นรนออกจากบ้านไปเป็นหมอนวดแผนโบราณ มีรายได้เฉลี่ย 1 พันบาทต่อเดือน และเงินจำนวนนี้นำมาซื้ออาหารเลี้ยงสมาชิกในครอบครัวถึง 9 ปาก 9 ท้อง สามารถเรียกได้ว่าตกอยู่ในสภาพยากจนแร้นแค้น
...เมื่อทราบปัญหาคุณหญิงกษมา ได้แนะนำให้ส่งลูกที่พิการ ไปอยู่โรงเรียนการศึกษาพิเศษ เพื่อให้อาจารย์ช่วยฝึกเด็กและได้เรียนหนังสือ พร้อมกันนี้จะช่วยเหลือเรื่องทุนการศึกษาแก่นักเรียนด้วย
บ้านหลังที่ 2 คือ บ้านของ ด.ช.กิตติพงษ์ หย่าหลง นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนอ่าวกะพ้อ ซึ่งพ่อเสียชีวิต ส่วนแม่มีครอบครัวใหม่ ทำให้ต้องอาศัยอยู่กับยายอายุ 70 กว่าปี และทวดอายุกว่า 80 ปี แถมยังมีน้องสาวของยายซึ่งพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อาศัยอยู่ด้วย
สำหรับรายได้ที่หล่อเลี้ยงและประทังชีวิตของครอบครัวได้รับจากแม่ของ ด.ช.กิตติพงษ์ ซึ่งบางเดือนก็ส่งมาให้ บางเดือนก็ไม่ได้ส่งให้ ทุกคนต้องใช้เงินกันอย่างกระเหม็ดกระแหม่ และ ด.ช.กิตติพงษ์ หลังเลิกเรียนต้องรีบเดินกลับบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แก่ยายพิการ โดยสิ่งที่อยากได้คือจักรยาน 1 คัน พร้อมทุนการศึกษา
ส่วนนักเรียนรายที่ 3 ที่มีชีวิตน่าเศร้าไม่แพ้กัน คือ “ด.ญ.ธัญญารัตน์ เผ้าทอง” นักเรียนชั้น ป.1 โรงเรียนบ้านย่าหมี ซึ่งพ่อแม่เสียชีวิตหลายปีแล้ว ทำให้ต้องอาศัยอยู่กับปู่ย่า ย่างวัยสูงอายุ ซึ่งมีอาชีพรับจ้าง รายได้ไม่แน่นอน
ย่ายูหน้า งานแข็ง บอกว่า ธัญญารัตน์ มีนิสัยเจียมเนื้อเจียมตัว ช่วยเหลืองานบ้านเล็กๆ น้อยๆ กวาดบ้านถูบ้าน กรอกน้ำใส่ตู้เย็น ถ้ามองเปลือกนอกไม่ลำบากมากนัก เพราะยังมีปู่ย่าคอยอุปถัมภ์อุ้มชู แต่พออายุสูงขึ้นเรี่ยวแรงเริ่มถดถอยลง จน เกรงว่าวันหนึ่งไม่แข็งแรงพอที่จะออกไปรับจ้าง ขณะที่เขายังไม่โตพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงชีวิตหลานคงลำบาก
“อนาคตข้างหน้าไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร รู้แค่ว่าอยากให้หลานมีทุนการศึกษาจนเรียนจบปริญญาตรี หวังแค่เขาเรียนจบและรับปริญญา มีงานทำเลี้ยงตัวเองได้ คนเป็นปู่ย่าก็สบายใจ” ย่ายูหน้าบอกความในใจ
ด้าน คุณหญิงกษมา สรุปภารกิจโครงการเยี่ยมบ้านนักเรียนในครั้งนี้ว่า เท่าที่ได้รับรายงานจากผู้บริหารในจังหวัดต่างๆ แล้วลงไปเจอด้วยตัวเอง พบว่านักเรียนจำนวนหนึ่งไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ได้รับการเลี้ยงดูจากปู่ย่าตายาย ญาติและผู้ดูแลเด็ก ส่วนมากไม่อยู่ในสภาพที่จะดูแลเด็กได้ หลายครอบครัวมีสภาพยากจนมากๆ สภาพบ้านเหมือนไม่ใช่บ้าน บางรายแก่เฒ่า เจ็บป่วย พิการ กลายเป็นว่าเด็กต้องช่วยเหลือตัวเอง ช่วยกันประคับประคองดูแลปู่ย่าตายาย ญาติ กันไปเท่าที่จะช่วยซึ่งกันและกันได้
ทั้งนี้ โครงการเยี่ยมบ้านนักเรียนครั้งนี้ ทำให้ สพฐ.มีฐานข้อมูลนักเรียนยากจนที่จะต้องเข้าไปเยียวยามากขึ้น ซึ่งเด็กบางรายครูสามารถช่วยเหลือได้ หากเหลือบ่ากว่าแรงก็รายงานขึ้นมายังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) หรือ สพฐ.ช่วยเหลือเด็กต่อไป และหากมีทุนการศึกษา จะใช้ฐานข้อมูลที่มีอยู่นี้มาใช้ในการพิจารณาให้ทุน เพื่อให้ทุนถึงมือเด็กที่เดือดร้อนและควรได้รับจริงๆ
สำหรับรายที่เจ็บไข้ได้ป่วย เฒ่าชรา ครอบครัวมีสภาพยากจน ศธ. คงรับมือฝ่ายเดียวไม่ไหว แต่จะประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ อย่าง กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กรมประชาสงเคราะห์ เป็นต้น ช่วยเป็นรายๆ เรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ช่วยเรื่องที่อยู่อาศัย และอื่นๆ เพื่อให้คุณภาพชีวิตของเขาเหล่านั้นดีขึ้น




