“กรมอนามัย” เตือนหญิงไทยทำแท้งไม่ปลอดภัยเสี่ยงตายสูง10 เท่า ของการตายขณะตั้งครรภ์ด้วยสาเหตุอื่น พบร้อยละ 40 พบภาวะแทรกซ้อนติดเชื้อในกระแสเลือด ตกเลือดมาก มดลูกทะลุ หัวใจวาย ถึงตายได้
วันนี้ (2 พ.ค.) นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในการประชุมการสื่อสารในงานอนามัยการเจริญพันธุ์ เกี่ยวกับสถานการณ์การท้องไม่พร้อมและทำแท้งของวัยรุ่นไทยว่า การตั้งครรภ์หรือท้องเมื่อไม่พร้อมเกิดขึ้นได้ในหญิงทุกกลุ่มวัย สาเหตุหนึ่งคือการขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องอนามัยการเจริญพันธุ์และการใช้วิธีคุมกำเนิดที่ถูกต้อง เพราะจากการวิจัยพบว่าผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อมร้อยละ 84.7 รู้จักวิธีคุมกำเนิดแต่ไม่ใช้ในระหว่างมีเพศสัมพันธ์ และบางรายไม่คิดว่าจะมีเพศสัมพันธ์จึงไม่ได้ป้องกัน โดยเฉพาะในวัยรุ่นซึ่งด้อยประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาชีวิต ไม่กล้าปรึกษาพ่อแม่ และไม่มีข้อมูลเรื่องแหล่งบริการทางสังคมที่จะสนับสนุนให้ตั้งครรภ์ต่อไปจนคลอดหรือแหล่งบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยในอัตราค่าบริการที่จะจ่ายได้ ก่อให้เกิดการทำแท้งที่ไม่เหมาะสมตามมา
นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ร้อยละ 61.3 ของผู้หญิงที่ทำแท้งเป็นเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ร้อยละ 29.9 มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และ ร้อยละ 24.7 ของคนที่ทำแท้งเป็นนักเรียน นักศึกษา และอันตรายจากการ ทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย พบว่า ร้อยละ 40 ของผู้หญิงที่ทำแท้งมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ได้แก่ การติดเชื้อในกระแสเลือด เชิงกรานอักเสบ ตกเลือดมาก มดลูกทะลุ หัวใจวาย ไตวาย และเสียชีวิต นอกจากนี้ การติดเชื้อในมดลูกทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากตามมาอีก ที่สำคัญโอกาสตายจากการทำแท้งของหญิงไทยสูงถึง 10 เท่าของการตายขณะตั้งครรภ์ด้วยสาเหตุอื่นๆ คือ หากมีผู้หญิงทำแท้ง 1 แสนคน จะมีโอกาสตายประมาณ 300 คน ซึ่งสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ
นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า การดำเนินงานของกรมอนามัยเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นที่ท้องไม่พร้อมและการแท้งที่ไม่ปลอดภัยขณะนี้คือเน้นให้ความรู้เรื่องเพศศึกษา การวางแผนครอบครัว การคุมกำเนิด การมีเพศสัมพันธ์เมื่อถึงวัยอันควร และมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ที่ ไม่พร้อมในกลุ่มวัยรุ่น พร้อมทั้งจัดอบรมแพทย์และพยาบาลเรื่องการป้องกันการแท้งที่ไม่ปลอดภัยและการดูแลผู้ที่มีปัญหาท้องไม่พร้อม รวมทั้งการให้บริการด้วยเทคโนโลยีที่ปลอดภัยและทันสมัยในกรณีที่แพทย์ต้องรักษาผู้ที่แท้งไม่ปลอดภัย หรือเมื่อแพทย์จำเป็นต้องยุติการตั้งครรภ์ตามเงื่อนไขของกฎหมายและข้อบังคับแพทยสภา
“ทั้งนี้ ปัจจุบันแพทยสภาได้กำหนดข้อบังคับแพทยสภาพว่าด้วยหลักเกณฑ์ปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ ตามมาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2548 ให้แพทย์สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้เมื่อหญิงตั้งครรภ์มีปัญหาสุขภาพจิตหรือมีความเครียดเมื่อตรวจพบว่าทารกในครรภ์มีความพิการรุนแรงหรือเป็นโรคทางพันธุกรรมอย่างรุนแรง ซึ่งการยุติการตั้งครรภ์กรณีหญิงมีปัญหาสุขภาพจิตจะต้องได้รับการรับรองจากแพทย์อีกหนึ่งคนที่ไม่ใช่ผู้ทำการยุติการตั้งครรภ์ โดยข้อบังคับนี้จะเป็นแนวทางให้แพทย์ปฏิบัติและช่วยแก้ไขปัญหาการแท้งที่ไม่ปลอดภัยให้ลดลง” นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าว
อธิบดีกรมอนามัย กล่าวด้วยว่า ผู้ที่มีปัญหาโดยเฉพาะเด็กหรือวัยรุ่นเมื่อประสบปัญหาตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมไม่ควรแก้ไขปัญหาด้วยาตัวเองตามลำพังหรือตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์โดยผู้ที่ไม่มีความรู้ทางการแพทย์ควรปรึกษาพ่อแม่ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ หรือคนที่ตนเองไว้ใจ หรือสามารถขอรับคำปรึกษากับแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพและโรงพยาบาลทุกแห่ง รวมทั้งองค์กรเอกชน ได้แก่ สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย หรือ ขอคำปรึกษาได้ที่ กองอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย เบอร์โทรศัพท์ 0-2590-4265-6