“พงศกร” วอนนักเรียนที่คิดจะถ่ายคลิปลามกคิดถึงหัวอกพ่อแม่ ให้ครูตักเตือนเด็กด้วยความรัก ขอร้องหากใครมีคลิปลามกขอให้ลบทิ้ง อย่าส่งต่อ หากจะส่งให้เป็นเรื่องสร้างสรรค์ เช่น คลิปส่งเสริมความพอเพียง หรือสนับสนุนความเป็นไทย ระบุ ส่งต่อคลิปฉาวเท่ากับทำลายประเทศ ด้าน ผอ.โรงเรียนดัง ชี้ ไม่ใช่เด็กของโรงเรียน และไม่มีในประวัติย้อนหลัง เชื่อเด็กอื่นเอาชุดนักเรียนมาใส่
นายพงศกร อรรณนพพร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีคลิปวีดีโอลามกนักเรียนหญิงและนักเรียนชาย กระทำอนาจารกันบนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 113 โดยยังสวมเครื่องแบบนักเรียนออกมาเผยแพร่ ว่า ขอให้นักเรียนคิดถึงและรักครอบครัวให้มากๆ เพราะพ่อแม่ทุกคนมีความห่วงใยลูกมาก เมื่อจะกระทำสิ่งใดก็ขอให้นึกถึงหัวอกของพ่อแม่ เมื่อถึงช่วงเวลาที่มีความพร้อม เชื่อว่า พ่อแม่ก็คงไม่ห้ามปราม
อย่างไรก็ตาม เด็กที่กระทำเรื่องดังกล่าว อาจจะอยู่ในช่วงวัยที่อายุยังน้อย และไม่ทันคิด ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนก็ควรให้ความรักความอบอุ่นกับลูก โดยเฉพาะเรื่องเพศไม่ใช่เรื่องปิดบัง พ่อแม่ควรเป็นครูแรกของลูกที่จะบอกสอนและตักเตือนให้เข้าใจถึงการกระทำที่เหมาะสม ซึ่งตนเชื่อว่าหากสายใยรักในครอบครัวเข้มแข็ง เหตุการณ์ดังกล่าวคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
สำหรับครูซึ่งเสมือนเป็นพ่อแม่คนที่ 2 ควรพูดจาตักเตือนเด็กด้วยความรู้สึกรักเหมือนลูกของตนเอง แต่ตนไม่เห็นด้วยกับการออกเป็นกฎบังคับ เพราะจะมีเด็กบางส่วนที่อยากจะแหกกฎ ควรใช้ความรักในการตักเตือนกันจะดีกว่า ซึ่งอาจารย์ประจำชั้นที่ใกล้ชิดเด็กจะรู้อยู่แล้วว่าเด็กมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร
“ผมไม่อยากให้การถ่ายคลิปลามก และส่งต่อเป็นค่านิยมในสังคม จึงขอร้องทุกคนว่าไม่ควรเก็บและส่งต่อคลิปเหล่านี้ เพราะหากทุกคนร่วมกันทำก็จะกลายเป็นเรื่องปกติของสังคม ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความรักความผูกพันในครอบครัวกันอย่างมากจึงไม่ควรเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากจะส่งต่อคลิปก็ควรเป็นเรื่องสร้างสรรค์ เช่น การส่งเสริมความพอเพียง หรือสนับสนุนความเป็นไทยจะดีกว่า ผมขอร้องว่าใครที่มีคลิปลามกอนาจาร ขอให้ลบทิ้งเสีย อย่าได้ส่งต่อ เพราะการส่งต่อคลิปลามกเป็นการทำลายประเทศ หากเป็นวัยรุ่นก็เป็นการทำลายเพื่อนร่วมวัยเดียวกัน”นายพงศกร กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานจากการสอบถามไปยังผู้อำนวยการโรงเรียนดังย่าน ถ.สุขาภิบาล 3 ตามที่ปรากฏภาพในคลิป ว่า นักเรียนสาวได้สวมเครื่องแบบ ปักอักษรย่อโรงเรียนดังกล่าว ซึ่งผู้อำนวยการโรงเรียน ยอมรับว่า ได้ดูคลิปฉาวดังกล่าวแล้ว และเห็นว่าเครื่องแบบปักอักษรย่อของโรงเรียนตนเองจริง ซึ่งในวันเดียวกันนี้ (13 มี.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน (กก.สด.) ได้เดินทางมาสอบสวนข้อมูลจากทางโรงเรียนแล้ว อย่างไรก็ตาม จากที่ได้สอบถามอาจารย์ฝ่ายปกครอง และอาจารย์หลายท่านในโรงเรียนก็ได้รับคำยืนยันว่า ไม่เคยเห็นหน้านักเรียนสาวคนดังกล่าวมาก่อน และได้นำภาพมาเทียบกับรายชื่อนักเรียนย้อนหลังไป 1-2 ปี ก็ไม่พบว่ามีรายชื่อนักเรียนที่มีหน้าตาลักษณะดังกล่าว
“อาจเป็นไปได้ว่า เด็กเอาชุดนักเรียนไปใส่ เพราะทางโรงเรียนตรวจสอบย้อนหลังไปแล้วก็ไม่พบว่ามีนักเรียนหน้าตาแบบนี้ อีกทั้งทางโรงเรียนเคยจับได้หลายครั้งว่า มักจะมีเด็กอื่นแอบแฝงเข้ามาในโรงเรียน โดยนำเสื้อของเพื่อนนักเรียนที่เรียนอยู่ในโรงเรียนนี้ไปใส่ ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นก็อาจจะเป็นสาเหตุเดียวกันนี้ก็ได้” ผู้อำนวยการ กล่าว
ผู้อำนวยการคนดังกล่าว กล่าวอีกว่า แม้จะยืนยันได้ว่า นักเรียนหญิงในคลิปดังกล่าวไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนของตน แต่ก็ยอมรับว่าการเผยแพร่คลิปดังกล่าวทำให้โรงเรียนเสื่อมเสียชื่อเสียงมาก ดังนั้นจึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งดำเนินการควบคุมการเผยแพร่คลิปวีดิโอลักษณะนี้ รวมทั้งวางมาตรการในการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเข้มงวด ไม่ใช่เพียงแต่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุเพียงอย่างเดียว เพราะเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาระดับชาติ สร้างความเสื่อมเสียให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องที่ต้องมารับเคราะห์กรรมอย่างมาก
นายพงศกร อรรณนพพร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีคลิปวีดีโอลามกนักเรียนหญิงและนักเรียนชาย กระทำอนาจารกันบนรถโดยสารปรับอากาศ สาย 113 โดยยังสวมเครื่องแบบนักเรียนออกมาเผยแพร่ ว่า ขอให้นักเรียนคิดถึงและรักครอบครัวให้มากๆ เพราะพ่อแม่ทุกคนมีความห่วงใยลูกมาก เมื่อจะกระทำสิ่งใดก็ขอให้นึกถึงหัวอกของพ่อแม่ เมื่อถึงช่วงเวลาที่มีความพร้อม เชื่อว่า พ่อแม่ก็คงไม่ห้ามปราม
อย่างไรก็ตาม เด็กที่กระทำเรื่องดังกล่าว อาจจะอยู่ในช่วงวัยที่อายุยังน้อย และไม่ทันคิด ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนก็ควรให้ความรักความอบอุ่นกับลูก โดยเฉพาะเรื่องเพศไม่ใช่เรื่องปิดบัง พ่อแม่ควรเป็นครูแรกของลูกที่จะบอกสอนและตักเตือนให้เข้าใจถึงการกระทำที่เหมาะสม ซึ่งตนเชื่อว่าหากสายใยรักในครอบครัวเข้มแข็ง เหตุการณ์ดังกล่าวคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
สำหรับครูซึ่งเสมือนเป็นพ่อแม่คนที่ 2 ควรพูดจาตักเตือนเด็กด้วยความรู้สึกรักเหมือนลูกของตนเอง แต่ตนไม่เห็นด้วยกับการออกเป็นกฎบังคับ เพราะจะมีเด็กบางส่วนที่อยากจะแหกกฎ ควรใช้ความรักในการตักเตือนกันจะดีกว่า ซึ่งอาจารย์ประจำชั้นที่ใกล้ชิดเด็กจะรู้อยู่แล้วว่าเด็กมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร
“ผมไม่อยากให้การถ่ายคลิปลามก และส่งต่อเป็นค่านิยมในสังคม จึงขอร้องทุกคนว่าไม่ควรเก็บและส่งต่อคลิปเหล่านี้ เพราะหากทุกคนร่วมกันทำก็จะกลายเป็นเรื่องปกติของสังคม ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความรักความผูกพันในครอบครัวกันอย่างมากจึงไม่ควรเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากจะส่งต่อคลิปก็ควรเป็นเรื่องสร้างสรรค์ เช่น การส่งเสริมความพอเพียง หรือสนับสนุนความเป็นไทยจะดีกว่า ผมขอร้องว่าใครที่มีคลิปลามกอนาจาร ขอให้ลบทิ้งเสีย อย่าได้ส่งต่อ เพราะการส่งต่อคลิปลามกเป็นการทำลายประเทศ หากเป็นวัยรุ่นก็เป็นการทำลายเพื่อนร่วมวัยเดียวกัน”นายพงศกร กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานจากการสอบถามไปยังผู้อำนวยการโรงเรียนดังย่าน ถ.สุขาภิบาล 3 ตามที่ปรากฏภาพในคลิป ว่า นักเรียนสาวได้สวมเครื่องแบบ ปักอักษรย่อโรงเรียนดังกล่าว ซึ่งผู้อำนวยการโรงเรียน ยอมรับว่า ได้ดูคลิปฉาวดังกล่าวแล้ว และเห็นว่าเครื่องแบบปักอักษรย่อของโรงเรียนตนเองจริง ซึ่งในวันเดียวกันนี้ (13 มี.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน (กก.สด.) ได้เดินทางมาสอบสวนข้อมูลจากทางโรงเรียนแล้ว อย่างไรก็ตาม จากที่ได้สอบถามอาจารย์ฝ่ายปกครอง และอาจารย์หลายท่านในโรงเรียนก็ได้รับคำยืนยันว่า ไม่เคยเห็นหน้านักเรียนสาวคนดังกล่าวมาก่อน และได้นำภาพมาเทียบกับรายชื่อนักเรียนย้อนหลังไป 1-2 ปี ก็ไม่พบว่ามีรายชื่อนักเรียนที่มีหน้าตาลักษณะดังกล่าว
“อาจเป็นไปได้ว่า เด็กเอาชุดนักเรียนไปใส่ เพราะทางโรงเรียนตรวจสอบย้อนหลังไปแล้วก็ไม่พบว่ามีนักเรียนหน้าตาแบบนี้ อีกทั้งทางโรงเรียนเคยจับได้หลายครั้งว่า มักจะมีเด็กอื่นแอบแฝงเข้ามาในโรงเรียน โดยนำเสื้อของเพื่อนนักเรียนที่เรียนอยู่ในโรงเรียนนี้ไปใส่ ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นก็อาจจะเป็นสาเหตุเดียวกันนี้ก็ได้” ผู้อำนวยการ กล่าว
ผู้อำนวยการคนดังกล่าว กล่าวอีกว่า แม้จะยืนยันได้ว่า นักเรียนหญิงในคลิปดังกล่าวไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนของตน แต่ก็ยอมรับว่าการเผยแพร่คลิปดังกล่าวทำให้โรงเรียนเสื่อมเสียชื่อเสียงมาก ดังนั้นจึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งดำเนินการควบคุมการเผยแพร่คลิปวีดิโอลักษณะนี้ รวมทั้งวางมาตรการในการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเข้มงวด ไม่ใช่เพียงแต่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุเพียงอย่างเดียว เพราะเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาระดับชาติ สร้างความเสื่อมเสียให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องที่ต้องมารับเคราะห์กรรมอย่างมาก