“ป้าอุ” เผยได้กลับมาพบลูกน้องเก่ารู้สึกอบอุ่น ขอให้ช่วยกันทุ่มเททำงานอย่างฉลาด เพื่อประเทศชาติ สนองพระราชดำรัสพระเจ้าอยู่หัว เน้นนโยบายให้ทำงานเพื่อผลักดันกระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงเศรษฐกิจ และต้องประสานกับกระทรวงต่างๆ เพื่อลดปัญหาคนว่างงาน
นางอุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เดินทางเข้ามารับตำแหน่งที่กระทรวงแรงงาน หลังจากได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เป็นคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดใหม่ โดยเวลา 09.09 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้เดินทางมาถึงกระทรวงแรงงงาน ได้สักการะศาลพระภูมิชัยมงคลและท้าวมหาพรหมเทวฤทธิ์ บริเวณหน้ากระทรวงแรงงาน จากนั้นผู้บริหารของกระทรวงฯ ได้เข้าแสดงความยินดี และทั้งหมดเข้ารับฟังบรรยายสรุป ปรึกษาหารือข้อราชการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ตนเป็นเสมือนพี่และข้าราชการทุกๆ คนเป็นเสมือนน้องเพราะเคยทำงานร่วมกันมาแล้ว จึงขอให้ทุกคนทำงานร่วมกันด้วยความสบายใจ ขอให้ตั้งใจทุ่มเท ด้วยความฉลาด จะขยันแต่ประการเดียวคงไม่ได้ ขออย่าสร้างปัญหาให้ผู้บังคับบัญชา และช่วยกันสร้างผลงานเพื่อที่จะได้อยู่ร่วมกันไปนานๆ ทั้งนี้ ขอให้น้อมนำพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานแก่คณะรัฐมนตรีทั้ง 35 คนเมื่อวานนี้ โดยมีสาระสำคัญว่าขอให้ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และขอให้ทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ให้มีความอยู่เย็นเป็นสุข ประชาชนมีที่พึ่งเพื่อให้เป็นผลสำเร็จที่ดี
จึงขอให้ข้าราชการทุกคนน้อมนำพระราชดำรัสดังกล่าวมาเป็นหลักในการทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก ไม่ให้ยึดอัตตาตัวตนเป็นใหญ่ให้รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ทุกอย่างจะราบเรียบรื่นรมย์พวกเราจะทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข แต่ต้องทำให้เป้นผลสำเร็จ การพบกันครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง รู้สึกอบอุ่นคุ้นเคยเป็นกันเอง จึงขอให้ทุกคนตั้งมั่นตั้งใจทำงานเพราะเราต้องทำงานร่วมกัน จึงขอให้ทุกท่านตั้งมั่นและเป็นกลไกที่ดีเพราะข้าราชการคือกลไกที่สำคัญของชาติ คงต้องเร่งช่วยกัน และหวังว่าทุกคนจะร่วมมือกันทำงาน ให้เป็นที่พึ่งของประชาชนทั้งประเทศซึ่งรอความหวังอยู่ ขอให้ข้าราชการตั้งมั่นในความสุจริต สามารถตอบได้ทุกคำถาม โดยยึดประโยชน์องค์กรเป็นหลัก
สำหรับความก้าวหน้าของข้าราชการแต่ละคนนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับฝีมือของแต่ละคนเป็นหลัก และขอฝากเรื่องที่เคยเริ่มต้นไว้เมื่อครั้งที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเมื่อเกือบสามปีก่อน โดยขอให้สานต่อเรื่องที่สถาบันพัฒนา/ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานว่าควรสังกัดอยู่กับส่วนภูมิภาค เพราะการพัฒนาฝีมือแรงงานแต่ละภูมิภาคจะไม่เหมือนกัน ถ้าถ่ายโอนไปสังกัดส่วนภูมิภาคจึงน่าจะสะดวกและมีการดำเนินการได้อย่างดี แต่ทั้งนี้ขอให้เป็นประชามติที่ต้องสอบถามความสมัครใจกันก่อน
นอกจากนี้ ในด้านการขาดแคลนแรงงานต้องมีการประสานงานกับกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ถึงความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อพัฒนาเด็กออกมาให้ตรงกับความต้องการนั้นๆ เพื่อที่จะได้จบออกมาแล้วไม่ตกงาน หรือว่างงาน ซึ่งเรื่องการประสานงานกับกระทรวงต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นอีกประการหนึ่งที่ต้องรีบทำ และขอให้ทุกฝ่ายพยายามผลักดันให้มีการให้ความคุ้มครองแรงงานนอกระบบเป็นรูปธรรมมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ โดยต้องมาดูว่าจะมีกรอบการดำเนินการอย่างไรให้เหมาะสมต่อไป
