xs
xsm
sm
md
lg

ชะตากรรมเด็กเขมรตลาดโรงเกลือ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เช้าตรู่ของวันธรรมดาวันหนึ่งกับอากาศที่ค่อนข้างเย็นสบาย ณ บริเวณแนวตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา แต่เมื่อเหลือบไปมองที่เส้นแบ่งกั้นพรมแดนก็ต้องพบกับสายตานับพันคู่ที่ต่างจ้องเขม็งยังประตูกั้นแผ่นดินว่า...เมื่อไหร่มันจะถูกเปิดซักที
ในแต่ละวันจะมีชาวกัมพูชาหลายพันคนข้ามแดนมายังฝั่งไทยเพื่อมาค้าแรงงานในตลาดสินค้ามือ 2 ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนั้นก็คือ”ตลาดโรงเกลือ” อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว รอยต่อกับต.ปอยเปต อ.โอโจรว จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา

...และในบรรดาผู้ค้าแรงงานเชื่อหรือไม่ว่า มีเด็กชาวกัมพูชาตั้งแต่แรกเกิดจนถึง
18 ปี เข้ามาทำงานเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวเฉลี่ยวันละ 2,200 คน โดยมีทั้งที่มากับผู้ปกครอง มาด้วยตัวเองอย่างถูกกฎหมายตามข้อตกลงไทย-กัมพูชา หรือ หลบหนีเข้าเมือง

-1-
จิตตา ปล้องทอง ผู้ประสานงานโครงการเด็กที่ต้องการการปกป้องเป็นพิเศษตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จากมูลนิธิศุภนิมิตรแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า โดยปกติทางตม.กำหนดให้เด็กกัมพูชาที่จะเข้ามาทำงานตลาดโรงเกลืออายุ 12-18 ปีจะต้องมีใบผ่านเข้าเมืองที่ตม.ไทยออกให้มีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน แต่หากต่ำกว่านี้ก็สามารถเข้าเมืองกับผู้ปกครองได้

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ในบัตรผ่านเข้าเมืองแบบวันต่อวันนั้นไม่มีการจดบันทึกว่าใครนำเด็กชายหรือหญิงเข้ามา ซึ่งตรงจุดนี้จะเปิดให้เด็กถูกนำไปค้ามนุษย์ในพื้นที่อื่นๆ ถือเป็นช่องว่างของตม.ตลอดมาและยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพราะตม.อ้างว้างต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการจัดการ

ทั้งนี้ เด็กๆ เหล่านี้จะมาขายแรงงานใน 8 อาชีพ ได้แก่ เก็บของเก่า , กางร่มให้นักท่องเที่ยว, ทำปลา เด็ดปีกตั๊กแตน, รับจ้างทั่วไป , ขูดกางเกงยีน , เข็นรถ ,ขอทาน และรับจ้างขนผ้าหนีภาษี โดยอาชีพที่เด็กๆ นิยมทำมากที่สุดคือเก็บของเก่า และกางร่มเพราะรายได้ดี

แน่นอนว่า เมื่อจำนวนเด็กเยอะปัญหาก็เยอะเช่นกันโดยส่วนใหญ่พบว่าถูกทำร้ายร่างกายจากนายจ้าง เช่น ใช้ท่อแป๊ปพลาสติกทุบตี ทำงานไม่ได้รับค่าจ้าง ถูกผู้ปกครองกดขี่ให้มาทำงาน ประสบอุบัติเหตุเล็กน้อยจากการทำงาน ซึ่งมูลนิธิฯก็มีศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อช่วยเด็กๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากที่ตลาดได้รับการช่วยเหลือโดยรับเงินจากองค์กรทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ(UNICEF) ประเทศไทยมาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว

ศูนย์พักพิงชั่วคราวเปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. มีเด็กมาใช้บริการวันละ 30-40 คน โดยที่ศูนย์ฯมีเจ้าหน้าที่ทั้งไทย-กัมพูชา คอยดูแลในเรื่องต่างๆทั้งการสอนภาษากัมพูชา สอนนับเลข ศิลปะ กีฬา เกม กิจกรรมสันทนาการต่างๆ และการให้คำปรึกษาเบื้องต้นเรื่องโรคเอดส์ การค้ามนุษย์ ทักษะชีวิต การดูแลร่างกาย ปฐมพยาบาลเบื้องต้น รวมถึงตรวจสุขภาพให้เดือนละครั้ง ตลอดจนมีอาหารกลางวันและอาหารว่างบริการอีกด้วย

นึม สไรนา สาวน้อยวัย 15 ปี ที่ต้องรับหน้าที่หารายได้จุนเจือครอบครับร่วมกับน้องชาย นึม วีเรียะ หนุ่มน้อยวัย 14 ปี จากชุมชนไดซอ บอกว่า ครอบครัวมีพี่น้องทั้งหมด 10 คนเสียชีวิตแล้ว 5 คน ตนเองจึงกลายเป็นพี่สาวคนโตมาทำงานที่ตลาดโรงเกลือตั้งแต่ปี 2548 มาทุกวัน โดยรับจ้างเข็นรถขนของ ผัก ผลไม้ได้วันละ 70-80 บาท ทำตั้งแต่ 7 โมงเช้า- 1 ทุ่ม ค่าแรงที่ได้ก็จะเอาไปให้แม่ใช้จ่ายภายในครอบครัว ส่งน้องอีก 2

คนเรียนหนังสือ เพราะพ่อเสียแล้วส่วนตัวไม่ได้เรียนแต่หากมีโอกาสก็จะเรียน
ส่วนสาเหตุที่มาที่ศูนย์ฯแห่งนี้เพราะเพื่อนเป็นคนพามาก็ได้ความรู้ในเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องมารยาท การเข้าเมืองที่ผิดกฎหมาย

“น่าเสียดายที่โครงนี้ยูนิเซฟจะไม่ได้ให้งบสนับสนุนต่อไปเพราะสิ้นสุดโครงการแล้วเมื่อปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา และโครงการต่อไปที่ยูนิเซฟจะให้ทุนก็คือเกี่ยวกับการค้าแรงงาน อย่างไรก็ตามเด็กๆเหล่านี้ยังสามารถมาขอความช่วยเหลือที่ศูนย์ได้เหมือนเดิมเพียงแต่จะไม่มีอาหารกลางวัน-อาหารว่างให้ทาน ไม่มีการจัดกิจกรรมที่ศูนย์ให้เหมือนเดิม แต่จะมีการลงพื้นที่ที่พวกเราได้ทำกันเป็นประจำทุกวันเพื่อเข้าถึงเด็กๆให้มากที่สุดและไม่เพียงจะลงพื้นที่เข้าพบเด็กในตลาดโรงเกลือเท่านั้น ที่ชุมชนไดซอ และชุมชนไดทไมซึ่งเด็กๆเหล่านี้อาศัยอยู่ในฝั่งกัมพูชาก็ลงพื้นที่ทุกเดือนด้วยเช่นกัน” นึมให้ข้อมูล

ผู้ประสานงานโครงการฯ บอกด้วยว่า นอกจากที่จะมีศูนย์พักพิงชั่วคราว
ที่คอยช่วยเหลือเด็กๆแล้วยังมีการจัดตั้งระบบส่งตัวกลับอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะสามารถกลับยังบานเกิดยังได้อย่างปลอดภัยโดยระบบส่งตัวกลับมีดังนี้คือ

ตามหาครอบครัวเด็ก ประเมินครอบครัวเด็ก และติดตามผลการเรียนเด็กที่สมัครใจเรียนต่อโดยสามารถเลือกเรียนได้ทั้งโรงเรียนรับหรือเอกชนที่อยู่ในเครือข่าย
แต่ทั้งนี้ครอบครัวเด็กจะต้องให้ความเห็นชอบด้วย ปัจจุบันมีเด็กๆ กัมพูชาที่ศูนย์ฯ ผลักดันเข้าสู่ระบบการศึกษาแล้ว 44 คน

-2-

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า เพียงแค่เลยเขตกาสิโนแห่งใหญ่ของกัมพูชา ก็ต้องพบกับถนนลูกรังที่คละคลุ้งไปด้วยฝุ่นละอองและเต็มไปด้วยหลุมต่างขนาดที่มีตลอดแนวถนนที่ทอดยาวสุดสายตา ด้วยเหตุดังกล่าว จึงทำให้การเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางเบื้องหน้าคือ “ โรงเรียนพรหมนิมิต” เป็นไปอย่างทุกลักทุเลเต็มที
โรงเรียนแห่งนี้ เป็นเครือข่ายในการรับเด็กเข้าเรียนที่ส่งมาจากมูลนิธิศุภนิมิต ซึ่งปัจจุบันมีเด็กส่งมาจากมูลนิธิฯ ดังกล่าวแล้ว 27 คน มีทุกระดับชั้นทั้งป.1- ป.6
โดยเด็กที่ถูกส่งตัวมาจะเรียนฟรีทุกอย่างแต่เด็กบางคนก็ต้องออกจากโรงเรียนกลางคันแม้จะได้เรียนป.1-3 แต่พอขึ้นชั้นป.4 ก็ต้องหยุดเรียน เนื่องจากผู้ปกครองอยากให้เด็กออกไปทำงาน

ด.ช.ศักดิ์ไท วัย 15 ปี 1 ในผู้โชคดีที่ได้รับการผลักดันให้ได้รับการศึกษาและเป็นผู้ที่เดินเข้าไปบอกกับเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ฯว่าต้องการเรียนหนังสือ เล่าความรู้สึกให้ฟังว่า ดีใจมากที่ได้มาเรียนเพราะจะได้มีความรู้เพิ่มเติมกว่าเมื่อก่อนและเมื่อมีความรู้แล้วจะได้มีงานดีๆทำ ซึ่งตอนนี้เรียนได้ 2 ปีแล้วโตขึ้นอยากเป็นอย่างพวกพี่ๆที่มูลนิธิศุภนิมิตฯ เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือคนที่ลำบากเหมือนที่พวกพี่ๆเจ้าหน้าที่เคยช่วยเหลือตนมาก่อน

ส่วน ด.ช.คมเหมือน วัย 16 ปี บอกถึงความตั้งใจว่า ตนตั้งใจเรียนเพื่อโตขึ้นจะได้เป็นอาจารย์จะได้ให้ความรู้กับเด็กๆต่อไป

นอกจากโรงเรียนพรหมนิมิตแล้วเรายังมีโอกาสได้คุยกับน้องๆที่เรียนอยู่ DON BOSCO CENTER-POIPET ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนและอยู่ในเครือข่ายการรับเด็กจากมูลนิธิศุภนิมิตส่งกลับเข้าระบบการศึกษา

ด.ช.เลย การิน วัย 15 ปี บอกว่า ขณะนี้กำลังศึกษาอยู่ชั้น ป.5 ก่อนจะมาเรียนที่นี่ก็ทำงานเก็บขยะกับครอบครัวในชุมชนใกล้กับตลาดโรงเกลือ โดยจะเรียนที่นี่ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ส่วนวันหยุดก็ต้องไปเก็บขยะกับครอบครัว พ่อกับแม่อยากให้เรียนต่อแต่ก็จนปัญญาเพราะไม่มีเงิน ครั้งนี้เมื่อมีโอกาสก็จะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด

ส่วน ด.ญ. เทือน กุลเทีย วัย 16 ปี บอกว่า ขณะนี้กำลังเรียนเย็บผ้าเพื่อจะได้มีอาชีพแต่โตขึ้นอยากเปิดร้านเสริมสวยซึ่งเรียนอยู่ที่นี่ตั้งแต่ป.4 อยู่ประจำกับโรงเรียนเพราะไม่มีบ้าน น้องชายก็เรียนอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกันตอนนี้อยู่ป.6 แล้ว
ก่อนจะจบบทสนทนาในบ่ายวันนั้นเด็กน้อยชาวกัมพูชาทั้ง 2 คนยังได้ฝากอะไรดีๆมายังเด็กไทยด้วยว่า

“เด็กในเมืองไทยได้เรียนหนังสือทำให้ประเทศพัฒนา แต่เด็กกัมพูชาไม่เรียนหนังสือประเทศจึงไม่พัฒนา รู้สึกอิจฉาเด็กไทยที่มีโอกาสดีๆถ้าเลือกได้ก็อยากอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว”

นี่คือความใจใจของสาวน้อยเทือนกุลเทียและอีก 1 ความในใจของเด็กน้อยวัย 15 ปี ขณะที่เลย การินบอกว่า “อยากฝากถึงเด็กไทยที่มีโอกาสได้เรียนเมื่อไม่เรียนพวกเขาเหมือนคนโง่เสียดายเวลาแทน แม้เมืองไทยจะเจริญกว่าที่นี่ แต่ถ้าเลือกได้ก็อยากเกิดที่กัมพูชาอยากเป็นคนที่นี่เพราะที่นี่มีโบราณสถานมากมาย”

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาเด็กที่ต้องการการปกป้องเป็นพิเศษตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จะประสบผลสำเร็จและยั่งยืนได้ก็ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายซึ่งในระยะเวลาอันใกล้นี้จะมีการลงนามบันทึกข้อตกลงแนวทางปฏิบัติร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานคุ้มครองเด็กตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่อ.โอโจรว จ.บันเตียเมียนเจย และอ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าการลงนามที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้จะทำให้ปัญหาที่มีนานมาแสนนานคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นในเร็ววัน...




ด.ช.ศักดิ์ไท
เทือน กุลเทีย
ด.ช.เลย การิน
กำลังโหลดความคิดเห็น