“หมอเกษม” แนะโรงพยาบาลชลประทานที่เปลี่ยนเป็นโรงเรียนแพทย์ ใช้ชื่อใหม่ “ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ” ต้องปรับบทบาท เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ใช้เกณฑ์มาตรฐานการรับ นศ.เหมือนกันไม่ให้เหลื่อมล้ำ เผยปีแรกรับ นศ.แพทย์ 20 คน เน้นเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนา เพิ่มแพทย์พยาบาล 2 เท่า เพิ่มสวัสดิการเงินเดือน 10% 4 ปี ต่อเนื่อง มั่นใจพัฒนาให้เป็นโรงเรียนแพทย์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในไทยภายใน 4-5 ปี
วันนี้ (21 ธ.ค) ที่กรมชลประทาน นนทบุรี ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี กล่าวในการเปิดประชุมวิชาการ และบรรยายพิเศษ เรื่อง การบริหารโรงเรียนแพทย์ ว่า การที่โรงพยาบาลชลประทานได้โอนมาสังกัด มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยใช้ชื่อว่า ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการบริหารจัดการใหม่ จากเดิมที่มีสถานะเป็นโรงพยาบาล ที่เน้นการให้บริการ เป็นหลัก จะต้องปรับรูปแบบให้เป็นโรงพยาบาลเพื่อการศึกษาแพทย์ ที่เน้นการศึกษาวิจัยการ การบริการ การฝึกอบรม การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับโรงเรียนแพทย์อื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ
“การรับนักศึกษาแพทย์ และการวัดและประเมินผลของ มศว ควรใช้หลักการรับนักศึกษามาตรฐานเดียวกัน และใช้ข้อสอบตัดเกรดชุดเดียวกัน กับคณะแพทยศาสตร์ของทุกมหาวิทยาลัย ที่มีจำนวน 17 แห่งทั่วประเทศ หากไม่ใช้เกณฑ์การบริการงานในมาตรฐานเดียวกันจะเกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ นอกจากนี้ครูและนักศึกษาแพทย์จะต้องคิดปรับปรุงการเรียนการสอน การบริหารจัดการตนเองตลอดเวลา รวมทั้งเชิญชวนให้นักศึกษาแพทย์ อีก 17 แห่ง ได้มีพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพของตนเองต่อไปด้วย” ศ.นพ.เกษม กล่าว
ศ.นพ.เกษม กล่าวต่อว่า ที่สำคัญการปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นโรงเรียนแพทย์ยังต้องสร้างความเข้าใจให้กับบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมดขององค์กรเกี่ยวกับลักษณะการปรับรูปแบบ ทำให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการคิด ตัดสินใจในการทำงาน ส่วนการบริหารโรงเรียนแพทย์ต้องยึดหลักคุณภาพเป็นสำคัญ ใช้รูปแบบการทำงานแบบประหยัด เรียบง่าย และคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย และนักศึกษาแพทย์ มีความรู้รักสามัคคี ตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากสามารถปฏิบัติตามได้ เชื่อว่า โรงเรียนแพทย์ของ มศว จะประสบความสำคัญในอนาคต นอกจากนี้ ต้องมีกลไกในการจัดการหลักสูตรครูแพทย์ และนักศึกษาแพทย์ เพราะเมื่อนักศึกษาแพทย์จบจากวิชาชีพแพทย์แล้ว จะมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับสุขภาพความเป็นอยู่ การกินดีอยู่ดีของประชาชน ดังนั้น ตนอยากให้รัฐที่เป็นเจ้าของโรงเรียนแพทย์ ผู้บริหาร และประชาชนทั่วไป จะต้องร่วมกันสนับสนุนส่งเสริมการศึกษาทางการแพทย์ ให้เกิดกำลังใจ รวมทั้งให้เห็นว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่สำคัญต่อการพัฒนาสุขภาพประชาชนต่อไป
ด้าน ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า เมื่อโรงพยาบาลชลประทานมีการปรับเปลี่ยนจากโรงพยาบาลที่ให้บริการประชาชนเป็นโรงเรียนแพทย์ ซึ่งป็นฐานการผลิตนักเรียนแพทย์ จึงต้องมีความพร้อมในการผลิต โดยจะเน้นงานด้านการวิจัยแลพัฒนา สถานที่บุคลคล เพื่อรองรับภารกิจใหม่ โดยได้เชิญสำนักงบประมาณเพื่อวางแผนร่วมกันในด้านอัตรากำลัง สถานที่ ที่พัก ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยตั้งเป้าจะเริ่มรับนักเรียนแพทย์ตั้งแต่ปีหน้า
“คณะแพทย์ ที่องครักษ์ มศว ได้เปิดรับนักเรียนแพทย์แล้ว 130 คนซึ่งการเปิดโรงเรียนแพทย์ที่โรงพยาบาลปัญญานันทภิกขุฯ น่าจะสามารถรับนักเรียนแพทย์ได้อย่างน้อย 20 คน ขณะนี้จึงขึ้นอยู่กับความพร้อมที่พักนักศึกษา อาคารสถานที่ที่ต้องปรับปรุงมาก โดยได้ประสานอย่างเข้มแข็งกับสำนักงบประมาณ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบกลางปีจำนวน 200-300 ล้านบาท ในการสร้างควาพร้อม” ศ.ดร.วิรุณ กล่าว
ศ.ดร.วิรุณ กล่าวต่อว่า ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุฯ จะเป็นศูนย์ในการวิจัยพัฒนาด้านวิชาการ เพื่อแก้ปัญหาโรคที่มีความยาก ซับซ้อน ซึ่งโดยเฉลี่ยโรงพยาบาล มีผู้ป่วยนอก 1,200 คน ขณะที่มีแพทย์เพียง 40 คน พยาบาล 80 คน ดังนั้นจึงจะพยายามเพิ่มแพทย์และพยาบาลอีก เป็น 2 เท่า บุคลกรทั้งหมดที่ขณะนี้มีประมาณ 1,000 คน ซึ่งจะสร้างสวัสดิการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะส่วนพนักงานอีก 500 กว่าคน ก็จะเพิ่มเงินเดือนให้ 10% เป็นเวลา 4 ปี ต่อเนื่อง เพื่อสร้างแรงจูงให้บุคลากรมีความสุขในการทำงานรู้สึกมั่นคงและพร้อมที่จะให้บริการที่ดี
“เชื่อว่า โรงพยาบาลบาลศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ จะสามารถเป็นโรงเรียนแพทย์ที่มีประสิทธิภาพได้ โดยตั้งเป้าพัฒนา ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุฯ ให้เป็นโรงเรียนแพทย์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศภายใน 4-5 ปี รวมทั้งเป็นทางออกของประเทศอีกทางหนึ่ง ในการแก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์ด้วย” ศ.ดร.วิรุณ กล่าว
ศ.ดร.วิรุณ กล่าวด้วยว่า สำหรับเหตุการณ์คนไข้ฟ้องร้องแพทย์ และทำให้แพทย์ติดคุกนั้น ได้ส่งผลเสียต่อขวัญกำลังใจของแพทย์ส่วนหนึ่ง แต่ก็ช่วยเตือนใจให้แพทย์และพยาบาลตั้งใจในการเป็นแพทย์ พยาบาลมากขึ้น โดยภาพรวมทั้งหมอพยาบาลมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นหมอที่ดีอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้สังคมไทยจะต้องรู้จักให้เกียรติกัน ลอมชอม ให้อภัย รู้จักทำความเข้าใจกัน ไม่ใช่ใช้ความรุนแรง เพราะเห็นว่าอาชีพหมอพยาบาลเป็นอาชีพที่เสียสละมาก