คอลัมน์สายตรงสุขภาพกับศิริราช
ผศ.พญ.ศันสนีย์ เสนะวงษ์
ภาควิชาวิทยาภูมิคุ้มกัน
ทุกวันนี้ เรามักได้ยินกันว่าโปรแกรมการตรวจสุขภาพประจำปีมีการตรวจเลือดหามะเร็งกันเป็นประจำ และบางครั้งที่ร่างกายมีความผิดปกติ เช่น มีเลือดออก หรือมีก้อนขึ้น ส่วนใหญ่มักถามหรือขอแพทย์ให้ตรวจเลือดหามะเร็ง เพราะดูจะเป็นวิธีการที่น่าจะสะดวก หรือเจ็บตัวน้อยที่สุด และยังสามารถบอกได้ว่า ผู้นี้มีแนวโน้มเป็นมะเร็งหรือไม่

การตรวจเลือดเพื่อหามะเร็งนั้น มีตั้งแต่การตรวจหา Alpha-fetoprotein (AFP), CEA, PSA, CA 15-3 ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor marker ทูเมอร์มาร์กเกอร์) นั่นเอง
สารบ่งชี้มะเร็งคืออะไร
ในภาวะที่เซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ เกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นมะเร็ง จะส่งผลให้กลไกควบคุมการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์เสียไป ทำให้เซลล์นั้น ๆ แบ่งตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมภายในเซลล์ เกิดการสร้างสารแอนติเจน หรือสาร macromolecule อื่นๆ เช่น ฮอร์โมน หรือเอ็นไซม์ที่ไม่เหมือนเซลล์ปกติ
แอนติเจนเหล่านี้นอกจากจะพบอยู่ภายในเซลล์และบนผิวของเซลล์แล้ว เซลล์มะเร็งยังสามารถปลดปล่อยสารดังกล่าวออกสู่กระแสเลือด หรือสารคัดหลั่ง (biological fluid) อื่นๆ ได้อีกด้วย ซึ่งสารต่างๆ ที่ผลิตจากเซลล์มะเร็งเหล่านี้ รวมเรียกว่าเป็นสารบ่งชี้มะเร็ง หรือ tumor marker ซึ่งสามารถตรวจหาได้จากเลือด หรือสารคัดหลั่ง เช่น น้ำในช่องท้อง (ascetic fluid) น้ำในช่องปอด (pleural fluid) ด้วยการใช้วิธีการทางห้องปฏิบัติการที่มีความไวสูงพอ
สารบ่งชี้มะเร็งที่ควรรู้จัก
* Alpha-fetoprotein (AFP)
เป็นแอนติเจนในกลุ่ม oncofetal antigen สร้างจากเยื่อบุผิวของเซลล์ถุงไข่ เซลล์ตับ และทางเดินอาหารของทารกในครรภ์มารดา มีระดับสูงสุดในเลือดเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 13 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะมีปริมาณลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อใกล้คลอด จนมีระดับเท่าระดับปกติในผู้ใหญ่ภายใน 2-3 สัปดาห์หลังคลอด ดังนั้นจึงสามารถพบ AFP สูงได้ (แต่เป็นภาวะปกติ) จากทารกในครรภ์มารดา ทารกแรกคลอด และหญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะถ้าทารกในครรภ์มีความผิดปกติในพัฒนาการของสมอง (neural tube defect) จะสามารถตรวจพบ AFP ในเลือดของมารดาและในน้ำคร่ำได้สูงกว่าระดับที่พบในหญิงตั้งครรภ์ปกติที่มีอายุครรภ์เท่ากันถึง 2 - 3.5 เท่า คนทั่วไปจะตรวจพบ AFP ได้ในระดับต่ำๆ
AFP มักมีค่าสูงกว่าปกติในผู้ป่วยมะเร็งตับและมะเร็งของรังไข่ และ/หรือ อัณฑะ ชนิด embryonal cell carcinoma รวมทั้งยังอาจพบระดับสูงขึ้นได้ในมะเร็งปอด และมะเร็งของระบบทางเดินอาหาร โดยระดับ AFP
ที่ตรวจพบมักจะสัมพันธ์กับระยะของโรคมะเร็งด้วย นั่นคือ ในมะเร็งระยะต้นมักพบ AFP สูงขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่จะสูงมากขึ้นเป็นลำดับในมะเร็งระยะท้าย นอกจากนั้นยังอาจพบ AFP สูงขึ้นได้ในผู้ป่วยโรคตับอื่นๆ ที่ไม่ใช่มะเร็ง แต่ระดับมักไม่สูงมากนัก
AFP เป็น tumor marker ็ง้็ที่ได้รับการยอมรับให้นำมาใช้ตรวจหามะเร็งตับในกลุ่มที่เสี่ยง ซึ่งได้แก่ ผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ บี ผู้ป่วยโรคตับแข็ง เป็นต้น โดยแนะนำให้ตรวจซ้ำทุก 3 - 6 เดือน และ/หรือ ร่วมกับการตรวจอัลตราซาวดน์ของตับ
*Carcinoembryonic antigen (CEA)
เป็นแอนติเจนในกลุ่ม oncofetal antigen อีกชนิดหนึ่ง สร้างจากเซลล์ลำไส้ ตับ และตับอ่อนของทารกในครรภ์มารดาที่มีอายุครรภ์ประมาณ 2-6 เดือน ในคนปกติสามารถตรวจพบ CEA สูงได้เล็กน้อยในคนที่สูบบุหรี่ หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ไม่เกิน 6 เดือน รวมทั้งในผู้ป่วยที่มีการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร ปอด และตับ แต่ระดับมักไม่สูงมาก แต่จะสูงผิดปกติในผู้ป่วยมะเร็งของระบบทางเดินอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ ฯลฯ โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ จะพบ CEA สูงได้มากและบ่อยกว่ามะเร็งชนิดอื่นๆ
* Prostate specific antigen (PSA)
เป็นเอ็นไซม์ protease ชนิดหนึ่ง สร้างจากเซลล์เยื่อบุผิวของต่อมลูกหมากเป็นหลัก รวมทั้งสร้างจากเซลล์เยื่อบุท่อปัสสาวะ ดังนั้นจึงอาจพบ PSA ระดับต่ำๆ ในผู้หญิงได้เช่นกัน สามารถตรวจพบระดับ PSA สูงกว่าปกติได้ทั้งในมะเร็งต่อมลูกหมาก และภาวะต่อมลูกหมากโตที่ไม่ใช่มะเร็ง

PSA เป็น tumor marker อีกชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับให้ใช้ตรวจกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก ในกลุ่มผู้ชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยแนะนำให้ตรวจ PSA ร่วมกับการตรวจคลำต่อมลูกหมากทางทวารหนัก และควรเจาะเลือดตรวจก่อนดำเนินการตรวจทางทวารหนัก เนื่องจากการกระทำใดๆ ต่อต่อมลูกหมาก เช่น การกดคลำ จะทำให้มีการปลดปล่อย PSA ออกจากต่อมลูกหมากมากกว่าปกติ เป็นผลให้ระดับ PSA ขึ้นสูงกว่าที่ควรจะเป็น
ในปัจจุบัน มีการตรวจเพิ่มเติมที่สามารถเพิ่มความจำเพาะต่อการวินิจฉัยมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยไม่ลดความไวของการทดสอบลง ได้แก่ การตรวจ Free PSA : Total PSA ratio
* CA 125
เป็นสารโปรตีน glycoprotein พบอยู่บนผิวของเซลล์ที่มีต้นกำเนิดจากเซลล์ตัวอ่อนทารกชนิด embryonic coelomic epithelium
CA 125 มักมีค่าขึ้นสูงในผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ ชนิด non-mucinous type รวมทั้งมะเร็งตับอ่อน มะเร็งปอด มะเร็งของระบบทางเดินอาหาร มะเร็งตับ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังอาจพบ CA 125 สูงกว่าปกติได้ในหญิงตั้งครรภ์ รวมทั้งผู้ป่วยที่มีการอักเสบของช่องท้อง และอวัยวะภายในช่องท้อง ตับอ่อนอักเสบ ตับแข็ง และการอักเสบของอวัยวะภายในช่องเชิงกราน
* CA 19-9
เป็นแอนติเจนในกลุ่ม carbohydrate antigen ที่สามารถตรวจพบได้ในเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งของระบบเดินอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม ฯลฯ
CA 19-9 จัดเป็น tumor marker ที่ดีที่สุดในการช่วยวินิจฉัยและติดตามผลการรักษามะเร็งตับอ่อน และมะเร็งของท่อน้ำดี นอกจากนี้ยังพบค่าสูงขึ้นได้ในโรคที่มีการอักเสบของตับตับอ่อน ท่อน้ำดีและถุงน้ำดี
* CA 15-3
เป็นสารโปรตีน glycoprotein มีค่าสูงขึ้นได้ในมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งของระบบทางเดินอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ เป็นต้น
CA15-3 มักใช้ช่วยในการวินิจฉัยมะเร็งเต้านมที่มีการแพร่กระจาย และการกลับเป็นใหม่ของโรคหลังการรักษา ไม่นิยมใช้ในการวินิจฉัยมะเร็งเต้านมระยะแรกเริ่ม
* Beta-human chorionic gonadotropin (beta-HCG)
เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่ง ซึ่ง beta-HCG จะมีค่าขึ้นสูงในหญิงมีครรภ์ แต่จะสูงมากในผู้ป่วยครรภ์ไข่ปลาอุก ผู้ป่วยมะเร็งของเยื่อบุโพรงมดลูก (choriocarcinoma) มะเร็งของรังไข่ และ/หรือ อัณฑะชนิด teratogenic carcinoma รวมทั้งผู้ป่วยมะเร็งปอดบางรายก็สามารถตรวจพบ beta-HCG สูงเกินปกติได้ ในคนปกติจะใช้ beta-HCG เป็น marker สำหรับตรวจสอบการตั้งครรภ์
* Neuron-specific enolase (NSE)
เป็นเอ็นไซม์ glycolytic enzyme ชนิดหนึ่ง มักตรวจพบว่ามีค่าสูงกว่าปกติในมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ในกลุ่มระบบประสาทและต่อมไร้ท่อ (neuroendocrine) เช่น มะเร็งปอดชนิด small cell lung cancer neuroblastoma และ pheochromocytoma
NSE จัดเป็น tumor marker ที่ดีที่สุดในการช่วยวินิจฉัยและติดตามผลการรักษามะเร็งปอดชนิด small cell lung cancer ซึ่งเป็นมะเร็งปอดที่มีการพยากรณ์โรครุนแรง
จะเห็นได้ว่าประโยชน์ของสารบ่งชี้มะเร็ง นอกจากเพื่อวินิจฉัยแล้ว ยังนำไปใช้ในการติดตามผลและช่วยเลือกวิธีรักษาโรคมะเร็งด้วย สารบ่งชี้มะเร็งหลายชนิดสามารถตรวจพบได้ในคนปกติ และขณะเดียวกันก็อาจตรวจไม่พบความผิดปกติในผู้ป่วยมะเร็งบางราย ดังนั้นจึงพึงระลึกไว้เสมอว่าการตรวจพบระดับ tumor marker สูงกว่าปกติเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นมะเร็งแน่นอน แต่ต้องพิจารณาร่วมกับผลการตรวจทางคลินิกและผลทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ การตรวจซ้ำเป็นระยะเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อศึกษาดูว่าระดับของสาร tumor marker ดังกล่าวมีแนวโน้มเป็นเช่นไร ถ้าตรวจซ้ำแล้วพบว่าระดับ tumor marker สูงขึ้นเป็นลำดับ จะเป็นเครื่องชี้แนะให้สงสัยโรคมะเร็งมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าตรวจซ้ำแล้วระดับลดลง น่าจะบ่งชี้ว่าผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคมะเร็ง
ดังนั้น การเลือกใช้และแปรผลเกี่ยวกับสารบ่งชี้มะเร็ง (tumor marker) จึงจำเป็นต้องกระทำด้วยความระมัดระวังโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
------------------------------------------------------------
ใครจะดูแลมะเร็งได้ดีเท่าตัวคุณ
อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็ง ด้วยเหตุนี้คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จึงจัดบรรยายฟรี “เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโภชนาการตลอดจนวิธีตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโรคมะเร็ง” โดย รศ.พญ.วิไลพร โพธิสุวรรณ รศ.พญ.ปรียานุช แย้มวงษ์ และคณะ วันที่ 26 ธันวาคม 2550 เวลา 08.00 - 15.00 น. ณ ห้องตรีเพ็ชร์ อาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ ชั้น 15 รพ.ศิริราช สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2419 4471-2
ผศ.พญ.ศันสนีย์ เสนะวงษ์
ภาควิชาวิทยาภูมิคุ้มกัน
ทุกวันนี้ เรามักได้ยินกันว่าโปรแกรมการตรวจสุขภาพประจำปีมีการตรวจเลือดหามะเร็งกันเป็นประจำ และบางครั้งที่ร่างกายมีความผิดปกติ เช่น มีเลือดออก หรือมีก้อนขึ้น ส่วนใหญ่มักถามหรือขอแพทย์ให้ตรวจเลือดหามะเร็ง เพราะดูจะเป็นวิธีการที่น่าจะสะดวก หรือเจ็บตัวน้อยที่สุด และยังสามารถบอกได้ว่า ผู้นี้มีแนวโน้มเป็นมะเร็งหรือไม่
การตรวจเลือดเพื่อหามะเร็งนั้น มีตั้งแต่การตรวจหา Alpha-fetoprotein (AFP), CEA, PSA, CA 15-3 ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor marker ทูเมอร์มาร์กเกอร์) นั่นเอง
สารบ่งชี้มะเร็งคืออะไร
ในภาวะที่เซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ เกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นมะเร็ง จะส่งผลให้กลไกควบคุมการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์เสียไป ทำให้เซลล์นั้น ๆ แบ่งตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมภายในเซลล์ เกิดการสร้างสารแอนติเจน หรือสาร macromolecule อื่นๆ เช่น ฮอร์โมน หรือเอ็นไซม์ที่ไม่เหมือนเซลล์ปกติ
แอนติเจนเหล่านี้นอกจากจะพบอยู่ภายในเซลล์และบนผิวของเซลล์แล้ว เซลล์มะเร็งยังสามารถปลดปล่อยสารดังกล่าวออกสู่กระแสเลือด หรือสารคัดหลั่ง (biological fluid) อื่นๆ ได้อีกด้วย ซึ่งสารต่างๆ ที่ผลิตจากเซลล์มะเร็งเหล่านี้ รวมเรียกว่าเป็นสารบ่งชี้มะเร็ง หรือ tumor marker ซึ่งสามารถตรวจหาได้จากเลือด หรือสารคัดหลั่ง เช่น น้ำในช่องท้อง (ascetic fluid) น้ำในช่องปอด (pleural fluid) ด้วยการใช้วิธีการทางห้องปฏิบัติการที่มีความไวสูงพอ
สารบ่งชี้มะเร็งที่ควรรู้จัก
* Alpha-fetoprotein (AFP)
เป็นแอนติเจนในกลุ่ม oncofetal antigen สร้างจากเยื่อบุผิวของเซลล์ถุงไข่ เซลล์ตับ และทางเดินอาหารของทารกในครรภ์มารดา มีระดับสูงสุดในเลือดเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 13 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะมีปริมาณลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อใกล้คลอด จนมีระดับเท่าระดับปกติในผู้ใหญ่ภายใน 2-3 สัปดาห์หลังคลอด ดังนั้นจึงสามารถพบ AFP สูงได้ (แต่เป็นภาวะปกติ) จากทารกในครรภ์มารดา ทารกแรกคลอด และหญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะถ้าทารกในครรภ์มีความผิดปกติในพัฒนาการของสมอง (neural tube defect) จะสามารถตรวจพบ AFP ในเลือดของมารดาและในน้ำคร่ำได้สูงกว่าระดับที่พบในหญิงตั้งครรภ์ปกติที่มีอายุครรภ์เท่ากันถึง 2 - 3.5 เท่า คนทั่วไปจะตรวจพบ AFP ได้ในระดับต่ำๆ
AFP มักมีค่าสูงกว่าปกติในผู้ป่วยมะเร็งตับและมะเร็งของรังไข่ และ/หรือ อัณฑะ ชนิด embryonal cell carcinoma รวมทั้งยังอาจพบระดับสูงขึ้นได้ในมะเร็งปอด และมะเร็งของระบบทางเดินอาหาร โดยระดับ AFP
ที่ตรวจพบมักจะสัมพันธ์กับระยะของโรคมะเร็งด้วย นั่นคือ ในมะเร็งระยะต้นมักพบ AFP สูงขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่จะสูงมากขึ้นเป็นลำดับในมะเร็งระยะท้าย นอกจากนั้นยังอาจพบ AFP สูงขึ้นได้ในผู้ป่วยโรคตับอื่นๆ ที่ไม่ใช่มะเร็ง แต่ระดับมักไม่สูงมากนัก
AFP เป็น tumor marker ็ง้็ที่ได้รับการยอมรับให้นำมาใช้ตรวจหามะเร็งตับในกลุ่มที่เสี่ยง ซึ่งได้แก่ ผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ บี ผู้ป่วยโรคตับแข็ง เป็นต้น โดยแนะนำให้ตรวจซ้ำทุก 3 - 6 เดือน และ/หรือ ร่วมกับการตรวจอัลตราซาวดน์ของตับ
*Carcinoembryonic antigen (CEA)
เป็นแอนติเจนในกลุ่ม oncofetal antigen อีกชนิดหนึ่ง สร้างจากเซลล์ลำไส้ ตับ และตับอ่อนของทารกในครรภ์มารดาที่มีอายุครรภ์ประมาณ 2-6 เดือน ในคนปกติสามารถตรวจพบ CEA สูงได้เล็กน้อยในคนที่สูบบุหรี่ หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ไม่เกิน 6 เดือน รวมทั้งในผู้ป่วยที่มีการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร ปอด และตับ แต่ระดับมักไม่สูงมาก แต่จะสูงผิดปกติในผู้ป่วยมะเร็งของระบบทางเดินอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ ฯลฯ โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ จะพบ CEA สูงได้มากและบ่อยกว่ามะเร็งชนิดอื่นๆ
* Prostate specific antigen (PSA)
เป็นเอ็นไซม์ protease ชนิดหนึ่ง สร้างจากเซลล์เยื่อบุผิวของต่อมลูกหมากเป็นหลัก รวมทั้งสร้างจากเซลล์เยื่อบุท่อปัสสาวะ ดังนั้นจึงอาจพบ PSA ระดับต่ำๆ ในผู้หญิงได้เช่นกัน สามารถตรวจพบระดับ PSA สูงกว่าปกติได้ทั้งในมะเร็งต่อมลูกหมาก และภาวะต่อมลูกหมากโตที่ไม่ใช่มะเร็ง
PSA เป็น tumor marker อีกชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับให้ใช้ตรวจกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก ในกลุ่มผู้ชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยแนะนำให้ตรวจ PSA ร่วมกับการตรวจคลำต่อมลูกหมากทางทวารหนัก และควรเจาะเลือดตรวจก่อนดำเนินการตรวจทางทวารหนัก เนื่องจากการกระทำใดๆ ต่อต่อมลูกหมาก เช่น การกดคลำ จะทำให้มีการปลดปล่อย PSA ออกจากต่อมลูกหมากมากกว่าปกติ เป็นผลให้ระดับ PSA ขึ้นสูงกว่าที่ควรจะเป็น
ในปัจจุบัน มีการตรวจเพิ่มเติมที่สามารถเพิ่มความจำเพาะต่อการวินิจฉัยมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยไม่ลดความไวของการทดสอบลง ได้แก่ การตรวจ Free PSA : Total PSA ratio
* CA 125
เป็นสารโปรตีน glycoprotein พบอยู่บนผิวของเซลล์ที่มีต้นกำเนิดจากเซลล์ตัวอ่อนทารกชนิด embryonic coelomic epithelium
CA 125 มักมีค่าขึ้นสูงในผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ ชนิด non-mucinous type รวมทั้งมะเร็งตับอ่อน มะเร็งปอด มะเร็งของระบบทางเดินอาหาร มะเร็งตับ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังอาจพบ CA 125 สูงกว่าปกติได้ในหญิงตั้งครรภ์ รวมทั้งผู้ป่วยที่มีการอักเสบของช่องท้อง และอวัยวะภายในช่องท้อง ตับอ่อนอักเสบ ตับแข็ง และการอักเสบของอวัยวะภายในช่องเชิงกราน
* CA 19-9
เป็นแอนติเจนในกลุ่ม carbohydrate antigen ที่สามารถตรวจพบได้ในเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งของระบบเดินอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม ฯลฯ
CA 19-9 จัดเป็น tumor marker ที่ดีที่สุดในการช่วยวินิจฉัยและติดตามผลการรักษามะเร็งตับอ่อน และมะเร็งของท่อน้ำดี นอกจากนี้ยังพบค่าสูงขึ้นได้ในโรคที่มีการอักเสบของตับตับอ่อน ท่อน้ำดีและถุงน้ำดี
* CA 15-3
เป็นสารโปรตีน glycoprotein มีค่าสูงขึ้นได้ในมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งของระบบทางเดินอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ เป็นต้น
CA15-3 มักใช้ช่วยในการวินิจฉัยมะเร็งเต้านมที่มีการแพร่กระจาย และการกลับเป็นใหม่ของโรคหลังการรักษา ไม่นิยมใช้ในการวินิจฉัยมะเร็งเต้านมระยะแรกเริ่ม
* Beta-human chorionic gonadotropin (beta-HCG)
เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่ง ซึ่ง beta-HCG จะมีค่าขึ้นสูงในหญิงมีครรภ์ แต่จะสูงมากในผู้ป่วยครรภ์ไข่ปลาอุก ผู้ป่วยมะเร็งของเยื่อบุโพรงมดลูก (choriocarcinoma) มะเร็งของรังไข่ และ/หรือ อัณฑะชนิด teratogenic carcinoma รวมทั้งผู้ป่วยมะเร็งปอดบางรายก็สามารถตรวจพบ beta-HCG สูงเกินปกติได้ ในคนปกติจะใช้ beta-HCG เป็น marker สำหรับตรวจสอบการตั้งครรภ์
* Neuron-specific enolase (NSE)
เป็นเอ็นไซม์ glycolytic enzyme ชนิดหนึ่ง มักตรวจพบว่ามีค่าสูงกว่าปกติในมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ในกลุ่มระบบประสาทและต่อมไร้ท่อ (neuroendocrine) เช่น มะเร็งปอดชนิด small cell lung cancer neuroblastoma และ pheochromocytoma
NSE จัดเป็น tumor marker ที่ดีที่สุดในการช่วยวินิจฉัยและติดตามผลการรักษามะเร็งปอดชนิด small cell lung cancer ซึ่งเป็นมะเร็งปอดที่มีการพยากรณ์โรครุนแรง
จะเห็นได้ว่าประโยชน์ของสารบ่งชี้มะเร็ง นอกจากเพื่อวินิจฉัยแล้ว ยังนำไปใช้ในการติดตามผลและช่วยเลือกวิธีรักษาโรคมะเร็งด้วย สารบ่งชี้มะเร็งหลายชนิดสามารถตรวจพบได้ในคนปกติ และขณะเดียวกันก็อาจตรวจไม่พบความผิดปกติในผู้ป่วยมะเร็งบางราย ดังนั้นจึงพึงระลึกไว้เสมอว่าการตรวจพบระดับ tumor marker สูงกว่าปกติเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นมะเร็งแน่นอน แต่ต้องพิจารณาร่วมกับผลการตรวจทางคลินิกและผลทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ การตรวจซ้ำเป็นระยะเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อศึกษาดูว่าระดับของสาร tumor marker ดังกล่าวมีแนวโน้มเป็นเช่นไร ถ้าตรวจซ้ำแล้วพบว่าระดับ tumor marker สูงขึ้นเป็นลำดับ จะเป็นเครื่องชี้แนะให้สงสัยโรคมะเร็งมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าตรวจซ้ำแล้วระดับลดลง น่าจะบ่งชี้ว่าผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคมะเร็ง
ดังนั้น การเลือกใช้และแปรผลเกี่ยวกับสารบ่งชี้มะเร็ง (tumor marker) จึงจำเป็นต้องกระทำด้วยความระมัดระวังโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
------------------------------------------------------------
ใครจะดูแลมะเร็งได้ดีเท่าตัวคุณ
อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็ง ด้วยเหตุนี้คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จึงจัดบรรยายฟรี “เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโภชนาการตลอดจนวิธีตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโรคมะเร็ง” โดย รศ.พญ.วิไลพร โพธิสุวรรณ รศ.พญ.ปรียานุช แย้มวงษ์ และคณะ วันที่ 26 ธันวาคม 2550 เวลา 08.00 - 15.00 น. ณ ห้องตรีเพ็ชร์ อาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ ชั้น 15 รพ.ศิริราช สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2419 4471-2