xs
xsm
sm
md
lg

ปรัชญาจาก“บ้านดิน” พอมี พอกิน พอเพียง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ปาย”...อำเภอเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่เคยบริสุทธิ์ผุดผ่องราวหญิงสาวไร้เดียงสา ด้วยหนทางที่ห่างไกลกันดารจนน้อยคนจะเดินทางไปเยือน ทว่าวันนี้ลมหายใจของปาย ได้เปลี่ยนไปตามกระแสการท่องเที่ยวที่ส่งผลให้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทะลักเข้าไปเปลี่ยนปายให้แตกต่างจนแทบจำไม่ได้ แต่ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงนี้ ก็ยังมีบางเสี้ยวส่วนที่ยังคงดำรงชีวิตพอเพียง ดังเช่นสองชีวิตใน “บ้านดิน” เล็กๆ ที่มีแนวคิดอันเรียบง่ายและงดงาม

ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ รอบกองไฟที่ถูกก่อเพื่ออาศัยไออุ่นและเพื่อต้มชาภูเขา “พี่กบ” – ศุภรัตน์ ติรพัฒน์ หญิงสาวผู้ร่ำรวยกำลังใจ ได้เล่าย้อนไปถึงประวัติคร่าวๆ ของเธอว่า ภายหลังที่จบการศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ด้านการตลาด เธอก็กระโจนลงไปทำงานด้านการประชาสัมพันธ์ให้กับองค์กรการผลิตปูนรายใหญ่ที่สุดของประเทศ

พี่กบเคี่ยวกรำตัวเองเก็บประสบการณ์การทำงานกว่า 10 ปีที่นั่น แต่จุดที่ผันเปลี่ยนชีวิตของผู้หญิงผู้เป็นเจ้าของความฝันอันพอเพียงที่สุดแสนจะอหังการ์คนนี้ คือช่วงวิกฤติฟองสบู่แตก ที่หลายคนถือว่าเป็นช่วงเลวร้ายของชีวิต เป็นจุดตกต่ำทางเศรษฐกิจของครอบครัว แต่เธอกลับคิดว่ามันคือช่วงที่ประตูแห่งโอกาส ได้แง้มออกเพื่อให้เธอได้ออกเดินทางไปตามความต้องการของหัวใจของเธอ

เธอรวบรวมเงินเก็บทั้งหมด แล้วแบกเป้ขึ้นดอย จุดหมายอยู่ที่จังหวัดเชียงราย เพื่อช่วยเหลือคนบนดอยเท่าที่ความสามารถของเธอจะทำได้ จากพีอาร์เงินเดือนเรือนหมื่น เธอผันชีวิตไปเป็นครูอาสาบนดอยที่ไม่มีเงินเดือน

“คนเหล่านี้ยังคงต้องการช่วยเหลืออีกมาก ก็ขึ้นไปช่วยเขา ช่วยทำงานทุกอย่างที่เขาต้องการคนช่วย ตั้งแต่ทำกับข้าวไปจนสอนหนังสือ ระหว่างนั้นก็ใช้เงินเก็บตัวเอง ระยะหนึ่งก็หมด แต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนะ ต่อมาก็มีน้องๆ ที่มีจิตศรัทธา เห็นเราทำงาน อยากทำงานแบบเราแต่ไม่มีเวลา ก็เลยช่วยเป็นเงิน ลงขันให้เงินเดือนเราเดือนละ 3,000 บาท คือชื่นใจนะ ตอนที่รู้ คือเราทำแล้วเขาเห็น แล้วเขาก็มีใจจะช่วยเหลือ ถึงเขาไปเองไม่ได้ เขาก็ฝากให้พี่ไปทำด้วยการลงขันกันจ่ายเงินเดือนให้พี่

ถามว่าชีวิตคนอาสาให้อะไรบ้าง บอกได้เลยว่าให้มากมายเหลือเกิน เราได้รู้จักชีวิต รู้ค่าของเงิน จากเดิมตอนอยู่กรุงเทพฯ ทำงานออฟฟิศ แค่เครื่องสำอางเราซื้อเป็นหมื่นๆ ก็ไม่พอ นี่เงินสามพันบนดอย เราอยู่ได้สบายๆ ทั้งเดือน มีความสุขมากที่การลงแรงของเรามันมีประโยชน์มากมายกับคนที่เขาต้องการความช่วยเหลือและนี่เองที่ทำให้ชีวิตพี่ตกผลึกได้”

ระหว่างการทำงานอาสาอยู่นั้น พี่กบก็ได้เจอเพื่อนร่วมฝันอย่าง “พี่ปัณ”- ปัญจมา พรหมเมศร์ อดีตข้าราชการสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ที่ลาออกมาเพื่อเดินทางตามหาความฝันอันอิสระเสรี ที่สุดท้ายก็มาปักหลักช่วยเหลือชาวเขาอยู่ที่เชียงรายเช่นกัน

“ที่เล่ามายาวก็เพื่อจะบอกว่า การสร้างบ้านดินสักหลัง ไม่ใช่แค่เฉพาะมีที่ดิน มีเงินแล้วจะทำได้ สำหรับพี่และพี่ปัณ ก่อนที่เราจะมาสร้างบ้านดิน เราต้องตกผลึกชีวิตของเรามาได้ในระดับหนึ่งแล้ว” พี่กบกล่าว

ด้านพี่ปัณก็ได้เล่าเรื่องราวของจุดกำเนิดแห่งการสร้างบ้านดินว่า ภายหลังจากการขึ้นดอยไปช่วยชาวเขาได้ประมาณ 4 ปี ซึ่งก็ได้ต่อยอดให้แก่คนอาสารุ่นน้องๆ ที่มีใจอันเสียสละเข้ามาช่วยแล้ว พี่กบและพี่ปัณก็รามือออกมาลงหลักปักฐาน ทำความฝันอีกอย่างให้เป็นจริง

“เห็นว่าปายเป็นเมืองเล็กๆ น่ารัก ก็เลยคิดจะทำฝันอีกอย่าง คืออยากทำบ้านดิน และช่วยเอาสินค้าของชาวเขาเผ่าต่างๆ เช่นพวกนกหวีดดิน หรืองานฝีมืออื่นๆ มาขายให้เขา ให้เขาผลิต แล้วเราก็ไปรับซื้อ ให้เขามีรายได้ ก็เริ่มทำร้านแรกชื่อร้าน “เสียงดินเสียงน้ำ” ขายงานฝีมือชาวเขา ที่เราทำร้านเป็นลักษณะบ้านดินก็เพราะราคาถูก ดินก็ขุดดินเอาจากหน้าบ้าน ผสมแกลบ ผสมฟาง แล้วก็เอามาย่ำ จ้างเขามาขึ้นโครงเฉยๆ จากนั้นงานฉาบเราใช้ดินทั้งหมด วัสดุที่ทำโครงเราก็ใช้วัสดุในทิ้งถิ่น เช่นไม้ไผ่” พี่กบเล่า

แต่ก็เหมือนปายจะลองใจนักเดินทางจากแดนไกลที่หวังจะมาฝังรกรากไว้ที่นี่ พี่ปัณเล่าว่า ภายหลังทำร้าน “เสียงดินเสียงน้ำ” ได้ประมาณ 7 เดือน เพื่อนที่เคยทำมูลนิธิก็โทรศัพท์มาชวนพี่กบและพี่ปัณให้เดินทางไปช่วยเหลือชาวมอแกนที่มีปัญหาเรื่องสัญชาติ เจ้าของร้านทั้งคู่ก็แพคกระเป๋าแบกเป้คนละใบเดินทางลงไปช่วยทันทีโดยไม่รีรอ โดยหารู้ไม่ว่าการตัดสินในครั้งสำคัญนี้ทำให้เธอสองคนรอดพ้นจากความตาย!

เพราะหลังจากการลงไปช่วยเหลือชาวมอแกนได้ไม่นานก็มีน้ำป่าซัดถล่มอำเภอปาย โชคร้ายที่ร้านของทั้งคู่อยู่ในทางน้ำป่าผ่านพอดี

“ถ้าพวกพี่อยู่ตอนน้ำป่ามาพี่ตายแน่ ไม่มีทางรอด แต่พอรู้ข่าวก็ทำใจอยู่วันหนึ่งเต็มๆ” พี่ปัณเผยความรู้สึกภายหลังรับรู้ข่าวร้าย

“เข่าอ่อนเลย ร้องไห้อยู่สองวัน ไม่ได้เสียใจสมบัติอะไรเลยนะ แต่ที่เสียใจก็เพราะที่เราลงแรงไปเยอะมาก แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้ามองว่ามันเป็นการลองใจของปาย ว่าเราจะอยู่ จะสู้ หรือจะไม่เอาแล้ว เก็บกระเป๋ากลับบ้าน เราต้องเลือก ทางออฟฟิศเก่าพี่พอรู้ข่าวก็โทรศัพท์มา บอกว่าให้กลับมากรุงเทพฯ จะหางานให้ ไม่ต้องห่วง แต่วินาทีนั้นเรารู้ว่าบ้านเราอยู่ที่นี่ และเราจะสู้ต่อไป”

พี่กบอธิบายพร้อมเล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า ภายหลังตั้งสติ พี่กบและพี่ปัณก็ได้ให้กำลังใจกันและกัน และเลือกที่จะลุกขึ้นตามความฝันอีกครั้งที่ปาย

“แม่เพื่อนให้กู้แบบไม่คิดดอก โชคดีมาก ซึ่งเราก็ทำใช้คืนได้หมดในระยะประมาณ 2 ปี ตอนแรกก็มาทำบ้านปายนาอยู่ตรงแม่ฮี้ เชิงพระธาตุแม่เย็น แต่ตรงแถวนั้นมันเปลี่ยว ก็เลยคิดทำบ้านเล็กๆ ให้นักเดินทางมาพักเป็นเพื่อนเรา ก็เลยทำบ้านดินขึ้นมาหลังเล็กๆ 4 หลังเป็นโฮมเสตย์ ตั้งชื่อว่าบ้านปายนา เพราะบ้านเราอยู่ปลายนา”

พี่กบอธิบายว่าที่ชื่อบ้านดินทั้งหมดขึ้นต้นด้วยคำว่า “ข้าว” เช่น ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวหอม ก็เพราะเป็นการระลึกถึงบุญคุณที่ดินที่เป็นที่ตั้งของบ้านที่เคยเป็นนาข้าวมาก่อนนั่นเอง ถึงตรงนี้พี่ปัณได้พูดถึงการสร้างโฮมเสตย์อีกจุดหนึ่งที่อยู่นอกอ.ปายไปประมาณ 1 ก.ม.ว่า ที่จำเป็นต้องสร้างใหม่อีกหลังก็เพราะบ้านปายตาตรงเชิงพระธาตุแม่เย็นนั้นเป็นการสร้างบนพื้นที่ที่เช่าคนอื่นอยู่ จึงคิดกันว่าเมื่อได้ทุนสักก้อนหนึ่งพอที่จะลงทุนทำบ้านดินของตัวเองจริงๆ บนที่ดินของตัวเอง ก็อยากจะเร่งทำก่อนจะไม่มีแรงทำ

ทำบ้านดินเองมันถูกและได้อย่างใจ เพราะเราออกแบบของเราเอง แต่มันก็เหนื่อยมาก ใช้แรงเยอะ ไหนจะทำดิน ย่ำดิน ขนดิน ฉาบดิน ถ้าเราแก่ไปกันกว่านี้เราจะไม่มีแรง แล้วเราก็อยากมีบ้านบนที่ดินของเราเองด้วย พอถึงจุดที่เราพอมีกำลังซื้อที่ เราก็ซื้อเลย แล้วก็ลงมือทำเลย ก็เลยเป็นที่มาของ “บ้านปายนา-ปายตา” ซึ่งที่นี่เราทำบ้านดินโฮมเสตย์สี่หลัง แต่สะดวกกว่าที่เดิมหน่อยตรงที่มีห้องน้ำในตัว” พี่ปัณกล่าว

เห็นทั้งคู่พูดถึงคุณสมบัติหลักของบ้านดินว่ามีราคาถูก จึงได้ถามรายละเอียดถึงสนนราคาในการสร้างรวมถึงความแข็งแรงเมื่อต้องถูกใช้งาน พี่กบจึงอธิบายว่า การทำบ้านดินหากจ้างทำเฉพาะโครงแล้วที่เหลือทำเองทั้งหมดนั้น หากเป็นบ้านเล็กๆ ก็จะมีราคาเพียงไม่กี่หมื่นบาทเท่านั้น แต่รับรองถึงความแข็งแรงเพราะเห็นได้จากตอนน้ำป่าที่บ้านแทบทุกหลังจะโดนกระแสน้ำพัดจนเสียหาย แต่บ้านดินกลับยืนโครงอยู่ได้เนื่องจากดินมีความยืดหยุ่นสูงนั่นเอง

“พี่สองคนทำธุรกิจแบบนี้ จะบอกว่าเราทำแบบไม่เอากำไรทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะเราต้องทำให้เราอยู่ได้ แต่เราต้องการจะอยู่ได้แบบมีความสุข เราไม่ได้ต้องการเงินเยอะที่เราจะต้องเหนื่อยหรือทุกข์ใจ เราขอได้เงินพอประมาณแต่เรามีความสุขดีกว่า ขอเงินแค่40% แต่ขอความสุขสัก 60% พี่จึงทำบ้านแค่นี้ เป็นบ้านเล็กๆ ของนักเดินทางที่คอเดียวกัน ที่แสวงหาความเรียบง่ายและพอเพียงให้ได้มาพักและพบปะกัน” พี่กบทิ้งท้าย

กำลังโหลดความคิดเห็น