xs
xsm
sm
md
lg

อย.ชี้สารฉีดผิวขาวเด้งสุดอันตราย! ที่แท้ยารักษามะเร็งต่อมลูกหมาก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อย.ชี้สารฉีดให้ผิวขาวเด้งสุดอันตราย เผย “สารกลูตาไธโอน” ที่ใช้ฉีดยังไม่ขึ้นทะเบียนกับอย. ประโยชน์ที่แท้จริงอิตาลีใช้รักษามะเร็งต่อมลูกหมาก แต่ผลข้างเคียงทำให้ผิวขาวชั่วคราว จับตาเอาผิดแพทย์ที่ให้บริการ ฟันผิดมาตรฐานการรักษา สถานพยาบาลนำเข้า รักษาผิดกฎหมาย

วันนี้ (26 พ.ย.) นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กล่าวถึงกรณีที่คลินิกผิวหนังหลายแห่งนำสารกลูตาไธโอนฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อทำให้ผิวขาวนั้น ว่า ขณะนี้อย.ยังไม่มีการอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนสารกลูตาไธโอน (GLUTATHIONE) เพื่อใช้ในการรักษาโรคใดๆทั้งสิ้น แม้ว่าในประเทศอิตาลีจะมีการขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตถูกต้องแต่ก็มีการนำสารดังกล่าวในการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งกระเพาะอาหารเท่านั้น ส่วนการทำให้ผิวขาวขึ้นถือเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาดังกล่าว

“การนำสารตัวนี้มาฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดเองในปริมาณที่มากตามที่เป็นข่าวคือประมาณ 600 มิลลิกรัมต่อหลอด ถือว่าเสี่ยงอันตรายมาก เพราะอาจทำให้เกิดการแพ้ยาถึงขั้นช็อคและเสียชีวิตได้ การฉีดสารดังกล่าวในปริมาณมากเกินไปไม่เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะสารทุกอย่างต้องได้รับปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งในเครื่องสำอางทั่วไปพบว่ามีการผสมลงไปบ้าง แต่เพียง 0.000001-0.000005% เท่านั้น แม้ว่ายังไม่มีข้อมูลว่าใช้สารในปริมาณเท่าใดและนานเท่าใดจึงเป็นอันตรายแต่ก็ไม่ควรฉีดเข้าเส้นเพราะมีอาการเสี่ยง และที่สำคัญเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ เพราะไปหยุดการสร้างเอ็นไซม์เม็ดสีที่เป็นธรรมชาติของคนผิวเอเชีย ที่เป็นสีคล้ำ ทำให้ผิวคนเอเชียจากที่เคยกรองแสงอัลตร้าไวโอเลตได้มากก็ทำให้กรองได้ลดลง นอกจากนี้เม็ดสีในตาดำของคนเอเชียจะกรองแสงได้ลดลงมีอันตรายต่อจอประสาทตา”นพ.ศิริวัฒน์ กล่าว

นพ.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่คลินิกผิวหนังหลายแห่งให้บริการสารดังกล่าวนำสารดังกล่าวมาใช้นั้น ขณะนี้ยังไม่พบข้อมูลแต่อย่างใด หากพบว่ามีความผิดจริง โดย อย.รับผิดชอบในตัวของสาร หากเข้าไปตรวจพบสารดังกล่าวมีความผิดฐานมีการใช้ยาโดยไมได้อนุญาตตามพ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5 พันบาท และหากมีการโฆษณาสารดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตมีความผิดปรับไม่เกิน 1 แสนบาท แต่หากสถานพยาบาลมีความผิดก็ดำเนินการโดยกองประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และหากตัวแพทย์ที่ดำเนินการประกอบวิชาชีพเวชกรรมก็เป็นหน้าที่ของแพทยสภา

“เนื่องจากสารดังกล่าวยังถือว่าเป็นการปฏิบัติทางการแพทย์ที่ไม่ถูกต้อง เพราะยังไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ แพทย์ที่ฉีดสารดังกล่าวให้ถือว่าผิดจรรยาบรรณ สามารถฟ้องร้องแพทยสภาได้ ฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมผิดมาตรฐานทางการแพทย์ แต่หากไม่ใช่แพทย์ก็ถือว่ามีความผิด ฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้เป็นไปตามพ.ร.บ.ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 หากใครพบข้อมูลอย่างใดสามารถแจ้งมาได้ที่อย.”นพ.ศิริวัฒน์ กล่าว

นพ.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า จากการสืบค้นข้อมูลทางวิชาการพบว่า หน้าที่หลักของสารกลูตาไธโอนประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ คริสทีอีน(Cysteine) ไกลซีน(Glycine)และ กลูตามิค เอซิด (Glutamic Acid) โดยสารดังกล่าวช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ เพื่อขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทั้งยาฆ่าแมลง โลหะหนัก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ร่างกายได้รับ นอกจากนี้ยังช่วยในการสร้างเอ็นไซม์ต้านอนุมูลอิสระ โดยทำหน้าที่ร่วมกับวิตามินซี ซึ่งได้ร่วมกันซ่อมแซมสารพันธุกรรมที่อาจเปลี่ยนแปลงการเป็นมะเร็งได้ และยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทซิเนส(Tysinase) ไม่ให้สามารถเปลี่ยนเป็นโดปาควินโนน( Dopaquinone) ซึ่งมีผลทำให้สร้างเม็ดสีน้อยลง ทำให้มีผิวขาวชั่วคราว

“การที่สารดังกล่าวทำให้ผิวขาว ถือเป็นผลทางอ้อม เป็นการนำผลข้างเคียงมาใช้ ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของสารดังกล่าวโดยตรง และยังไม่พบว่ามีการหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันชัดเจน ขณะที่สารดังกล่าวก็มีอยู่ในธรรมชาติจากการบริโภคอาหารอยู่แล้ว โดยเฉพาะในเนื้อสัตว์ ผลไม้ เช่น อโวคาโด หากรับประทานอาหารในแต่ละวันอย่างหลากหลายครบทั้ง 5 หมู่ก็เพียงพออยู่แล้ว”นพ.ศิริวัฒน์ กล่าว

นพ.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า ข้อแนะนำในการรับประทานคือห้ามทานเกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้น การที่มีโฆษณาในอินเทอร์เน็ตจำหน่ายตั้งแต่ 500- 1,000 มิลลิกรัมนั้นก็ไม่ควรเชื่อถือและซื้อมาบริโภค ขณะนี้ได้ประสานงานกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในการตามหาตัวผู้ลงโฆษณาในอินเทอร์เน็ตที่จำหน่ายสารดังกล่าวด้วย

“การฉีดสารดังกล่าวเข้าสู่เส้นเลือดโดยตรงนั้น ถือว่ามีอันตรายอย่างมาก เนื่องจากอาจเกิดอาการแพ้อย่างเฉียบพลันถึงขั้นช็อคและเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะหากฉีดในสถานที่ที่ไม่มีเครื่องมือช่วยในการช่วยชีวิต หากเกิดอาการแพ้ก็ทำให้เสี่ยงอย่างมาก ยิ่งหากซื้อสารดังกล่าวจากอินเทอร์เน็ตมาฉีดเองเป็นเรื่องอันตรายมาก”นพ.ศิริวัฒน์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น