เวทีชิงดำเก้าอี้อธิการจุฬาฯ เข้มข้น ม.จัดแสดงวิสัยทัศน์และตอบข้อซักถาม "หมอภิรมย์" เต็งหนึ่งโชว์ไอเดีย "ทำจุฬาฯ เป็นปัญญาแผ่นดิน" ด้านเต็งสองอย่างศ.ดร.ดิเรกเด่นด้วยแนวทางการจัดหารายได้ และบริหารทรัพย์สินเพื่อเป็นแหล่งทุนสำคัญต่อการพัฒนาทางวิชาการ
เมื่อวันที่ 21 พ.ย.สภาคณาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดให้มีการแถลงวิสัยทัศน์และตอบข้อซักถามผู้ได้รับการหยั่งเสียงให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีจุฬาฯ ณ ห้องประชุม 101 อาคาร 3 คณะครุศาสตร์ โดยผลการจัดสลากลำดับการแสดงวิสัยทัศน์เรียงตามลำดับ ดังนี้
1.ศ.นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ
2.ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน
3.รศ.ทพ.สุนทราพงศ์ ระพีสุวรรณ
4.ศ.ดร.ดิเรก ลาวัณย์ศิริ
5.ศ.ดร.เปี่ยมศักดิ์ เมนะเศวต
และ 6.ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล
โดยผู้ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะได้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี 2 คน ได้แก่ ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล ซึ่งได้แสดงวิสัยทัศน์ในการบริหารจุฬาฯ หากได้เป็นอธิการบดีว่า ตนต้องการสร้างให้จุฬาฯ เป็น “ปัญญาแห่งแผ่นดิน” โดยเป็นเสมือนเสาหลักของแผ่นดิน เมื่อสังคมเกิดปัญหาวิกฤติ จุฬาฯ ต้องเข้าไปช่วยหาทางแก้ และเป็นที่พึ่งให้สังคมและประชาชนได้ด้วย ซึ่งเป็นเป้าประสงค์หลักที่ตนต้องให้จุฬาฯ ต้องทำให้ตอบแทนสังคม
“ส่วนเป้าหมายรองลงมาคือการทำให้จุฬาฯ เป็นบ้านที่อบอุ่นของคนดีและคนเก่ง คือการสร้างศรัทธาให้กับคนของจุฬาฯ เน้นความก้าวหน้าทางวิชาการ สนับสนุนการทำวิจัยเพื่อสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการเทียบเท่าระดับสากลและต่อยอดสำหรับนำไปใช้ประโยชน์ รวมถึงส่งเสริมการประกันคุณภาพการศึกษา และพัฒนาหลักสูตร เชื่อมโยงทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย”
ศ.นพ.ภิรมย์ กล่าวอีกว่า จะส่งเสริมทางวิชาการและพัฒนากลไกเพื่อประสานความแตกต่างทางความคิดไปสู่การดำเนินการให้สอดคล้องกัน ซึ่งจะทำให้จุฬาฯ เป็นที่ยอมรับในการตอบสนองอย่างรวดเร็วในการแก้ปัญหาวิกฤติของสังคม เป็นผู้นำทางด้านจริยธรรมเพื่อสังคม โดยคนในจุฬาฯ ต้องเกื้อกูลผู้ที่ด้อยโอกาสกว่า ด้วยการมีกิจกรรมสื่อสารกับชุมชน เช่น มีทุนสนับสนุนกิจกรรมสาธารณะของชุมชนใกล้เคียง เป็นต้น สำหรับการรักษาทรัพยากรคนดีและคนเก่งให้อยู่ภายในจุฬาฯ นั้น ต้องดูแลเรื่องสวัสดิการและคุณภาพชีวิตของคนในจุฬาฯ ให้ดีขึ้น โดยมุ่งเน้นสุขภาวะ 4 มิติ คือ มิติด้านกาย จิต สังคม และปัญญา สร้างความผูกพันให้เกิดขึ้นในประชาคมตามแนวทางสมานฉันท์
“จุฬาฯ ที่เป็นปัญญาของแผ่นดินจะเปรียบเสมือนหลังคาบ้าน ส่วนการทำจุฬาฯ ให้เป็นบ้านที่อบอุ่นสำหรับคนดีคนเก่ง เสมือนคานบ้าน โดยมีเสา 6 ต้น คือ ความก้าวหน้า เข้มแข็ง ยอมรับ เกื้อกูล มั่นคง และเป็นสุข เป็นเสมือนเสาหลัก อยู่บนพื้นฐานของจุฬาฯ ที่มีน้ำใจ มีระเบียบ ประเพณีที่ดีงาม”
สำหรับแนวทางการนำจุฬาฯ ออกนอกระบบนั้น ศ.นพ.ภิรมย์ กล่าวว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.จุฬาฯ ไม่อยู่ในความควบคุมของจุฬาฯ แล้ว จึงอยากให้ทุกคนมองว่า พ.ร.บ.จุฬาฯ เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่อยากให้ทุกคนมองไปที่เป้าหมายว่าเราต้องการให้จุฬาฯ เป็นเช่นไร และร่วมกันไปสู่เป้าหมายนั้น โดยพยายามดำเนินการไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นภายในจุฬาฯ ส่วนการบริหารทรัพย์สินของจุฬาฯ นั้น ตนเห็นว่าควรมีความโปร่งใส ซึ่งหากจะมีการดำเนินการใดๆ ก็ควรจะแจ้งให้ประชาคมจุฬาฯ ได้รับรู้ในวงกว้างแต่เนิ่นๆ
ด้าน ศ.ดร.ดิเรก ลาวัณย์ศิริ แสดงวิสัยทัศน์ว่า ตนจะนำจุฬาฯ ไปสู่การเป็นแหล่งความรู้ แหล่งอ้างอิงของแผ่นดิน และเป็นผู้นำทางปัญญา เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีนโยบายด้านการบริหาร คือ มุ่งเน้นการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมของคณาจารย์ และบุคลากรของมหาวิทยาลัย ในลักษณะทีมงาน อย่างโปร่งใส มีระบบบัญชีและการเงินที่พร้อมตรวจสอบ รวมถึงปรับปรุงระบบสวัสดิการบุคลากรทุกสาย และส่งเสริมงานประชาสัมพันธ์ความรู้สู่สังคมภายนอก
นโยบายด้านวิชาการนั้น จะสร้างความเข้มแข็งนิสิต จุฬาฯ โดยให้มีคุณสมบัติพึงประสงค์ที่โดดเด่น ได้แก่ มีความเป็นเลิศในวิชาการตามสาขาที่ศึกษา พร้อมเพิ่มความหลากหลายทางความรู้และทักษะด้านอื่นๆ อย่างครบถ้วน มีความสามารถในการสื่อสาร และมีภาวะผู้นำ มีจิตสาธารณะ มีคุณธรรม จริยธรรม ส่วนนโยบายด้านวิจัยและพัฒนา จะมุ่งเน้นการสร้างงานในระดับนานาชาติ โดยการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในชาติต่างๆ และสนับสนุนให้เกิดการวิจัย และสร้างศาสตร์ความรู้ใหม่ในลักษณะสหสาขาวิชา พัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศและศูนย์อ้างอิงในศาสตร์ที่เป็นความรู้สากล เพื่อเป็นแหล่งพัฒนา รวบรวม และเผยแพร่องค์ความรู้ โดยใช้ระบบที่ปรึกษาระดับโลก และสนับสนุนให้จัดตั้งกลุ่มคณะทำงาน เพื่อเสนอแนะแก้ปัญหาระดับชาติ
“ส่วนนโยบายด้านกิจการนิสิต จะจัดให้มีกิจกรรมนอกหลักสูตร เพื่อเสริมสร้างจิตสาธารณะ คุณธรรม จริยธรรม สร้างความผูกพันระหว่างลูกศิษย์และคณาจารย์ ส่งเสริมให้นิสิตเก่ามีส่วนร่วมในการพัฒนามหาวิทยาลัย นอกจากนี้ ผมยังเน้นนโยบายด้านสังคม โดยให้มีการประสานความร่วมมือระหว่างคณะ และหน่วยงาน ในการทำกิจกรรมสร้างประโยชน์ให้ชุมชนและสังคม ซึ่งผมวางนโยบายด้านการพัฒนาและเสริมสร้างชีวิตของบุคลากรโดยสนับสนุนให้คณาจารย์ และบุคลากรสายสนับสนุนได้พัฒนาศักยภาพของตนเอง จัดกิจกรรมเพ่อให้คณาจารย์และบุคลากรได้รับสวัสดิการที่ดี และมีรายได้เสริม”
ศ.ดร.ดิเรก กล่าวอีกว่า แนวทางการจัดหารายได้ และบริหารทรัพย์สินนั้น จะบริหารทรัพย์สินถาวรของมหาวิทยาลัย ให้สามารถสร้างเป็นรายได้และเป็นแหล่งทุนสำคัญต่อการพัฒนาทางวิชาการ ให้นำทรัพย์สินทางปัญญามาแปลงเป็นรายได้ให้กับมหาวิทยาลัย โดยให้มีการระดมทุนจากศิษย์เก่า เพื่อเป็นทุนในการพัฒนางานวิจัย
“การนำจุฬาฯ ออกนอกระบบนั้น จะออกหรือไม่ออกนอกระบบ ขึ้นอยู่กับความพร้อมทั้งทางกายภาพและความพร้อมทางใจของคณาจารย์ บุคลากร และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับทางมหาวิทยาลัย การออกนอกระบบเป็นเพียงเครื่องมือทางการบริหารอย่างหนึ่งที่จะทำให้จุฬาฯ ไปสู่วิสัยทัศน์ทางการพัฒนาได้”
สำหรับบรรยากาศการรับฟังวิสัยทัศน์ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นอธิการบดีนั้น ได้รับความสนใจจากคณาจารย์มาร่วมรับฟังไม่มากนัก โดยประเด็นที่คณาจารย์ให้ความสนใจและตั้งคำถามกับผู้ได้รับการเสนอชื่อทั้ง 6 คน ได้แก่แนวทางการนำจุฬาฯ ออกนอกระบบ และการบริหารทรัพย์สินของจุฬาฯ ที่มีจำนวนมาก โดยในวันที่ 22 พ.ย.สภาคณาจารย์ฯ จะเปิดให้คณาจารย์ลงคะแนนหยั่งเสียงเสนอชื่ออธิการบดีคนละ 1 ชื่อ เพื่อเสนอรายชื่อผู้เข้ารับการสรรหาให้ดำรงอธิการบดีต่อคณะกรรมการสรรหาฯ จำนวน 3 คน ในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ เพื่อที่คณะกรรมการสรรหาฯ จะได้พิจารณาคัดเลือกรวมกับผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีจากคณะ/หน่วยงานอื่นๆ ต่อไป