กรมอนามัยแนะประชาชนเลือกบริโภคอาหารจากร้านที่มีหม้อก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีการเชื่อมรอยต่อบัดกรีด้วยตะกั่ว เนื่องจากอาจทำให้สารตะกั่วเข้าสู่ร่างกายและเป็นพิษได้ พร้อมรณรงค์ร้านก๋วยเตี๋ยวหันมาให้ “หม้อก๋วยเตี๋ยวอนามัย” ที่ผลิตโดยกรรมวิธีใช้ก๊าซเฉื่อยเข้ามาเชื่อมโลหะ หรือการเชื่อม “ทิก” แทน
นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่างประกาศคำสั่งห้ามใช้หม้อก๋วยเตี๋ยว หม้อต้มกาแฟโบราณ ที่ใช้สารตะกั่วบัดกรีชั่วคราว ว่า ปัจจุบันหม้อก๋วยเตี๋ยวนิยมผลิตจากเหหล็กกล้าไร้สนิมออสเตนิติก 304 หรือ 304L โดยนำมาม้วนขึ้นรูป พับตะเข็บรอยต่อและประสานตะเข็บกันรั่วซึมด้วยการบัดกรีอ่อนกับวัสดุบัดกรี ซึ่งมีส่วนผสมของตะกั่วและดีบุกในอัตรา 40 ต่อ 60 มีอุณหภูมิหลอมเหลวประมาณ 190 องศาเซลเซียส โดยตะกั่วของวัสดุบัดกรีสามารถละลายปนเปื้อนกับน้ำลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวและน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวได้ ทำให้เกิดพิษ เกิดอันตรายต่อร่างกายผู้บริโภค
ทั้งนี้ สคบ.ได้กำหนดมาตรญานการปนเปื้อนของตะกั่วในอาหารได้ไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ในน้ำดื่มได้ไม่เกิน 0.1 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งหากได้รับพิษตะกั่วร่างกายจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง เมื่อพิษสะสมจะทำให้ระบบประสาทส่วนปลายเป็นอัมพาตที่นิ้วเท้า และมือ เหนื่อยง่าย และอ่อนเพลีย
นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อความปลอดภัย จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการงดใช้หม้อก๋วยเตี๋ยวที่มีสารตะกั่วบัดกรี หันมาใช้ “หม้อก๋วยเตี๋ยวอนามัย” ผลิตโดยกรรมวิธีใช้ก๊าซเฉื่อยเข้ามาเชื่อมโลหะ หรือการเชื่อม “ทิก” (Tungsten Inert Gas Welding) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเชื่อม “อากอน” ราคาประมาณใบละ 4,000-5,000 บาท แม้จะมีราคาต้นทุนสูงกว่าหม้อก๋วยเตี๋ยวทั่วไปถึง 3 เท่า แต่อายุการใช้งานนานขึ้น ไม่ต้องซ่อมบ่อย ที่สำคัญผู้บริโภคยังปลอดภัยจากพิษของสารตะกั่วด้วย และขอความร่วมมือผู้ประกอบการตรวจสอบหม้อก๋วยเตี๋ยวที่ใช้อยู่ว่ามีสารตะกั่วบัดกรีหรือไม่ หากพบสภาพชำรุดขอให้งดใช้งานทันที ซึ่งในปัจจุบันพบว่า มีบางส่วนที่ตื่นตัวปรับเปลี่ยนหม้อก๋วยเตี๋ยวบ้างแล้ว