ภัยแชตไลน์ยังอยู่ แถมแนวโน้มรุนแรงขึ้น มึนรายใหญ่ปิดรายย่อยผุด ลอบเปิดสายแชต เบอร์ 02 ถูก-คุยได้นาน-ไร้การควบคุม ส่งผลให้เด็กคุยเซ็กซ์-ด่าหยาบคาย ถูกลวงข่มขืน หายจากบ้าน เสนอขึ้นทะเบียน กรอกข้อมูลเลข 13 หลักหรือรหัสผ่านเก็บข้อมูลก่อนแชต หวงโจ๋ไทยฮิตทำเว็บส่วนตัว ใส่รูป เล่าชีวิต ติดหวิว เผย Hi5 เว็บยอดนิยมยอดพุ่งเป็นอันดับ 3 ของประเทศ มีสมาชิกกว่า 4 แสนคน เปิดช่องมิจฉาชีพตะครุบเหยื่อ เกิดปัญหาแล้วคุมยาก ผอ.เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม จี้สั่งปิด กำจัดสิ่งร้ายอย่าปล่อยลอยนวลในสังคม ไม่กลัวถูกประท้วง
วันนี้ (1 พ.ย.) ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนา “เด็กเล่นไลน์ ภัยร้ายจากสายโทรศัพท์” โดยนายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาการเปิดบริการระบบแชทไลน์ทางโทรศัพท์ระบบพื้นฐาน 02 ที่มีการนำไปใช้เป็นช่องทางซื้อหาและขายบริการทางเพศ ล่อลวงเด็ก ซื้อขายยาเสพติด อาชญากรรมไม่ได้ลดลง แม้ทางบริษัทจะปิดให้บริการไปแล้วหลายเลขหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบของมูลนิธิกระจกเงา พบว่า ขณะนี้เริ่มมีผู้ให้บริการรายย่อยลักลอบนำสายโทรศัพท์บ้านมาต่อพ่วงกับอุปกรณ์เสริมลักษณะคล้ายตู้สาขาโทรศัพท์แล้วแอบเปิดให้บริการแชทไลน์
นายเอกลักษณ์ กล่าวต่อว่า การแชตไลน์ของเด็กๆ ไม่เคยน้อยลง เด็กจะรู้กันในหมู่พวกเขา ว่าเบอร์นี้ปิดแล้วต้องเปลี่ยนไปแชตเบอร์อะไร บริการนี้สะดวกมาก คือ สามารถโทรได้ทั้งโทรศัพท์บ้าน พีซีที สาธารณะ มือถือ เสียค่าโทร.ครั้งละ 3 บาท คุยได้นาน 30 นาที ประหยัดกว่าโทรผ่านระบบ 1900 แถมโทรได้ 24 ชม.จึงเข้าถึงเด็กทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งขณะนี้พบว่ากลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเด็กมัธยมต้น ซึ่งมีทั้งหญิงและชายพอๆ กัน และง่ายที่มิจฉาชีพจะล่อลวงเด็ก เพราะการแชตไลน์ มีทั้งคุยแบบตัวต่อตัว คุยพร้อมกันหลายๆ สาย เมื่อคุยกันก็จะถามข้อมูลส่วนตัว บ้าน โรงเรียน เบอร์โทร. หลายคนนัดเจอกัน ถ้าหากโทรไปแล้วไม่เจอก็มีการฝากข้อความเสียงไว้ ใครอยากรู้จักก็เข้ามา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการหาแฟน คุยเซ็กซ์โฟน การเล่นแชทไลน์จึงมีความใกล้เคียงเวบโป๊อนาจารมาก
“แต่สิ่งที่แพร่หลายเปิดเผยมากในแชตไลน์ คือ การขายบริการทางเพศ มีผู้หญิงมากมายที่เข้ามาฝากข้อความ อาทิ “ขายค่ะ ใครซื้อเข้ามาคุยกันนะ” “อยากคุยเสียว มาคุยกัน” หรือ “กำลังร้อนเงินสนใจกด 2 มาคุยกันนะ” ซึ่งมูลนิธิลองเข้าไปคุยกับผู้หญิงคนนี้ แล้วนัดพบกัน โดยเธอเสนอขายบริการราคา 1.000 บาท และเล่าให้ฟังว่าเธอเริ่มเล่นแชทไลน์ไม่นาน ได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งและมีเพศสัมพันธ์กัน ชายคนนี้ให้เงิน 1,500 บาท ทั้งยังบอกด้วยว่า ในแชตไลน์มีแต่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มาขายบริการ พวกผู้ชายจึงชอบเข้ามาหาเหยื่อ ทั้งซื้อบริการและหลอกมาข่มขืนแบบไม่เสียเงิน”นายเอกลักษณ์ กล่าว
นายเอกลักษณ์ กล่าวด้วยว่า การแชตไลน์ทำให้เด็กบางกลุ่ม แสดงพฤติกรรมด้านมืด เช่น ด่าทอบุพการีกันอย่างหยาบคาย พูดคุยแต่เรื่องเพศ และใช้เป็นช่องทางหาแฟน เด็กบางคนติดการแชตไลน์ ต้องเข้าไปใช้บริการทุกวัน หลายคนให้ข้อมูลตรงกันว่าต้องโทร.แชตไลน์ไม่ต่ำกว่าวันละ 10 ครั้ง ซึ่งมีเด็กหลายพันคนที่อยู่ในวงจรนี้ วันหนึ่งลูกหลานของใครอาจโชคร้ายถูกล่อลวงก็ได้ ขณะนี้มีผู้ปกครองจำนวนมาก ที่โทรศัพท์เข้ามาสอบถาม เพราะลูกหลานมีพฤติกรรมผิดปกติ ติดโทรศัพท์ และหายออกไปค้างคืนนอกบ้านโดยที่ไม่ได้ไปกับกลุ่มเพื่อนที่รู้จัก
“เคยสอบถามไปยังผู้ให้บริการโทรศัทพ์ ทราบว่าเจตนารมณ์แรกๆ ในการเปิดห้องแชตรูมไว้เพื่อให้คุยสาระต่างๆ เช่น ห้องคนรักแมว ห้องคนรักสุนัข แต่ข้อเท็จจริงการเปิดห้องเหล่านี้ บริษัทไม่มีการกลับมาตรวจสอบกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ การตั้งชื่อห้องจึงเป็นการตั้งชื่อเฉยๆ แต่กลับแฝงด้วยมิจฉาชีพ เป็นการค้าบริหารทางเพศที่มีมานาน โดยเริ่มจากการพูดคุยทางอินเทอร์เน็ต แลกเบอร์คุยโทรศัพท์กัน จนในที่สุดออกจากบ้านนัดเจอ และจบลงด้วยการมีเพศสัมพันธ์ และในที่สุดก็นำไปการขายบริการ” นายเอกลักษณ์กล่าว
นายเอกลักษณ์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ข้อมูลเฉพาะศูนย์คนหายที่ได้รับแจ้งจากพ่อแม่ผู้ปกครองประมาร 500 คน 70% สามารถหาเจอ ซึ่งในจำนวนนี้หลังจากได้สัมภาษณ์พบว่ามีเด็กหญิงไม่น้อยกว่า 5 คน อายุเฉลี่ยไม่เกิน 15 ปี หรือประมาณ 10% ออกจากบ้านทั้งถูกล่อลวงแบบเต็มใจและไม่เต็มใจ เนื่องมาจากการแชทไลน์
“เรื่องนี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ไม่น่าเชื่อว่าการเปิดให้บริการแชทไลน์หากินกับเยาวชนและสังคมแบบนี้ ไม่ต้องมีการขอใบอนุญาต และไม่ถูกควบคุมอยู่ภายใต้กฏหมายใดๆ ทั้งสิ้น การให้บริการทางเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน ยังมีช่องว่างทางกฏหมายอยู่หลายอย่างใครจะเปิดให้บริการอะไรก็ได้ ซึ่งข้อเท็จจริงควรจะต้องมีหน่วยงานเข้าไปกำกับดูแล จัดระเบียบการให้บริการที่เหมาะสม อย่างกรณีแชตไลน์ 02 ผู้ประกอบการควรใส่ใจต่อการดำเนินธุรกิจของตนเองด้วยว่าจะเกิดผลกระทบต่อสังคมหรือไม่ การให้บริการต่างๆ ที่มีเด็กและเยาวชนเข้าไปใช้บริการ ก็ควรจะมีมาตรฐาน ต้องมีการลงทะเบียนผู้ใช้บริการว่าใครเป็นผู้ใช้บริการหรือเป็นสมาชิกของระบบบ้าง และต้องมีผู้ดูแลระบบคอยตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สังคมต้องสร้างบรรทัดฐานแบบนี้ขึ้นมาด้วยการไม่ยอมรับการให้บริการที่เอาเปรียบและขาดความรับผิดชอบต่อสังคม” นายเอกลักษณ์ กล่าว
ด้าน น.ส.ลัดดา ตั้งสุภาชัย ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กล่าวว่า การเฝ้าระวังแชตไลน์ 02 ยังไม่ค่อยได้รับทราบข้อมูล เนื่องจากมีผู้แจ้งเข้ามาน้อยมากส่วนใหญ่ยังคงเป็นปัญหาการเข้าไปเว็บลามก ซึ่งกว้างมากกว่า จึงถือเป็นภัยเงียบที่รอระเบิดเวลา เป็นปัญหาใหญ่ไม่ต่างจากเว็บลามก นอกจากนี้ สื่งที่น่าเป็นห่วง คือ การใช้มือถือซึ่งเด็กใช้เป็นส่วนตัวในห้องนอน ที่พ่อแม่ก็อาจรู้ได้ ทำให้เฝ้าระวังลำบาก ส่วนการแชตไลน์เบอร์ 02 เห็นว่าควรปิดเบอร์เหล่านั้นไปก่อน หรือถ้าไม่ปิดก็ต้องมีมาตรการอื่นๆ ตามมา ซึ่งในวันที่ 2 พ.ย.จะเชิญผู้ประกอบการหนังสือลามกมาหารือ แล้ววันที่ 5 พ.ย.เป็นเรื่อง สื่อลามก และเล่นแชตไลน์เป็นอันดับต่อไป
“ถ้าปล่อยไว้จะเกิดปัญหาในอนาคต คงต้องสั่งปิดไปเลย ช่วยกันประโคมข่าว ช่วยกันกำจัด ถ้าคนกลุ่มหนึ่งที่ใช้บริการดังกล่าวประมาณ 5 แสนคนไม่เห็นด้วย แต่ประเทศไทยมี 64 ล้านคน เขาทำไม่ดีแล้วปิด เรื่องนี้เป็นเรื่องจิตใจ รู้ว่าไม่ดีและจะปล่อยให้ลอยนวลได้อย่างไร เขาจะมาออกมาโวยวายในสิ่งใดอีก เพราะสิ่งที่พวกเขาทำคือการทำลายของประเทศ คน 5 แสนคนจะลุกมาประท้วง ต้องดูว่าอะไรถูกผิด ไม่ใช่ประท้วงตลอดเวลา อย่าลืมมีพลังเงียบอยู่ 60 กว่าล้านคน พวกเขาอาจขว้างหินใส่หน้าคุณก็ได้”น.ส.ลัดดากล่าว
น.ส.ลัดดา กล่าวต่อด้วยว่า การเรียกร้องโดยอ้างสิทธิเสรีภาพในสังคมไทยก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าดูเหมือนจะเป็นสังคมที่กระหายประชาธิปไตย แต่ในโลกอินเทอร์เน็ต ในเว็บไซต์ทุกคนกลับทำตัวเป็นศาลเตี้ย ล้ำเส้น ประณามบุคคลอื่นๆ ในเว็บ ถือเป็นสังคมประชาธิไตยที่ใช้ไม่ได้ ดังนั้น ควรจะจะต้องเข้ามาจัดการดูแล คงจะต้องหาแนวทางคนที่ให้คนที่ทำอาชีพนี้ แสดงความเห็นมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ดีกว่าให้กระทรวงคิดคนเดียว เป็นไปได้หรือไม่ในสิ่งที่เสนอ
ด้านนายสุนิตย์ เชรษฐา ผจก.แผนงานไอซีที สสส.กล่าวว่า นอกจากการแชตไลน์ผ่านทางหมายเลขโทรศัพท์ 02 แล้ว ขณะนี้มีเว็บผองเพื่อน (social networking sites) ที่ให้บริการออนไลน์ สร้างเว็บส่วนตัว ให้ผู้ใช้ใส่รูป ใส่คลิปวิดีโอ ข้อมูลส่วนตัว ความสนใจทุกอย่างของตัวเองลงไป แล้วชวนเพื่อนเข้ามาดู จากนั้นก็จะดูกันต่อเนื่องแบบลูกโซ่ คนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยก็ได้เข้ารู้จักกัน และรู้เรื่องราวชีวิตทุกอย่างผ่านเว็บโซต์นี้ ซึ่งเมื่อตรวจสอบเว็บที่คนไทยเข้าดูมากที่สุด ปรากฏว่า อันดับที่ 3 คือ เว็บผองเพื่อนที่ชื่อ ไฮไฟว์(hi5) รองจาก กูเกิล และฮอตเมล์ รวมถึงโปรแกรมในมือถือที่สามารถใส่รูปและพูดคุย โดยรูปจากมือถือจะไปโชว์ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกฝ่ายได้ทันที
“เว็บแบบนี้โตแบบดอกเห็ดกระจัดกระจาย อยากรู้จักกันก็เป็นอีกช่องทางที่จะได้เบอร์ ซึ่งอนาคตจะเป็นปัญหาที่คุมยาก เพราะสิ่งที่เป็นอันตรายคือ พวกมิจฉาชีพรู้ข้อมูลส่วนตัว และค่อยๆ เรียนรู้พฤติกรรมของเหยื่อจนหลอกว่าเป็นเพื่อนจนตายใจ แล้วจึงนัดออกไปกระทำชำเราหรือทำร้าย แม้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เยาวชนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์จะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวง่ายแก่การล่อลวงมากขึ้น ทั้งนี้เริ่มมีแฟชั่นที่วัยรุ่นไทยเอารูปวับๆแวมๆ ของตัวเอง ขึ้นโชว์บนเว็บไซต์ส่วนตัว ซึ่งน่าเป็นห่วงแฟชั่นแบบผิดๆ นี้”นายสุนิตย์ กล่าว
นายสุนิตย์ กล่าวว่า นอกจากเว็บไซต์ผองเพื่อนชื่อไฮไฟว์ (hi5) ที่มีคนไทยเป็นสมาชิกอย่างน้อย 4 แสนคนแล้ว ยังมีเว็บไซต์ลักษณะเดียวกันอีกคือ มัลติพลาย (multiply) มีผู้ใช้ประมาณแสนคน และเฟซบุ๊ก (facebook) มีสมาชิกคนไทยอย่างน้อย 3 หมื่นคน หรือแม้แต่เว็บกระปุกแพลเน็ต เช่นเดียวกับอังกฤษที่ 78% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต เป็นสมาชิกของเว็บผองเพื่อนเหล่านี้ด้วย
ขณะที่ พ.ต.ท.ปัญญา ชะเอมเทศ สว.งาน1 กก.1 บก.ปดส. กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาการล่อลวงผ่านแชตไลน์ 02 นั้น ต้องเริ่มจัดระเบียบผู้ให้และผู้รับบริการ ในส่วนของผู้ให้ต้องมาขออนุญาตในการเปิดให้บริการดังกล่าว มีการทำสัญญาสัมปทานระบุอย่างชัดเจนว่าห้ามกระทำการใดๆ ที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากทำผิดก็สามารถดำเนินคดีได้ทันที และนอกจากนี้ต้องมีระบบในการเก็บข้อมูลในการสนทนาประมาณ 90 วัน เพื่อเป็นข้อมูลกรณีที่เด็กหายตัวไปจะได้ทราบเบาะแสว่าคุยกับใคร และตามไปหาผู้สนทนาด้วย
“ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ใช้บริการต้องลงทะเบียนก่อนเข้าใช้บริการ โดยอาจจะเป็นการกรอกเลขบัตรประชาชน 13 หลัก หรือเป็นตัวเลข 4 หลัก หรือข้อมูลอื่นๆ ก็ได้ เพราะหากไม่เริ่มจะออกระเบียบมาตรการควบคุมของผู้ให้บริการก่อนแล้วก็จะไม่สามารถควบคุมการดำเนินการใดๆ ได้เลย เพราะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการใดๆ ได้คือ ต้องมีอาวุธซึ่งอาวุธก็คือ กฎระเบียบ” พ.ต.ท.ปัญญา กล่าว
วันนี้ (1 พ.ย.) ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนา “เด็กเล่นไลน์ ภัยร้ายจากสายโทรศัพท์” โดยนายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาการเปิดบริการระบบแชทไลน์ทางโทรศัพท์ระบบพื้นฐาน 02 ที่มีการนำไปใช้เป็นช่องทางซื้อหาและขายบริการทางเพศ ล่อลวงเด็ก ซื้อขายยาเสพติด อาชญากรรมไม่ได้ลดลง แม้ทางบริษัทจะปิดให้บริการไปแล้วหลายเลขหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบของมูลนิธิกระจกเงา พบว่า ขณะนี้เริ่มมีผู้ให้บริการรายย่อยลักลอบนำสายโทรศัพท์บ้านมาต่อพ่วงกับอุปกรณ์เสริมลักษณะคล้ายตู้สาขาโทรศัพท์แล้วแอบเปิดให้บริการแชทไลน์
นายเอกลักษณ์ กล่าวต่อว่า การแชตไลน์ของเด็กๆ ไม่เคยน้อยลง เด็กจะรู้กันในหมู่พวกเขา ว่าเบอร์นี้ปิดแล้วต้องเปลี่ยนไปแชตเบอร์อะไร บริการนี้สะดวกมาก คือ สามารถโทรได้ทั้งโทรศัพท์บ้าน พีซีที สาธารณะ มือถือ เสียค่าโทร.ครั้งละ 3 บาท คุยได้นาน 30 นาที ประหยัดกว่าโทรผ่านระบบ 1900 แถมโทรได้ 24 ชม.จึงเข้าถึงเด็กทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งขณะนี้พบว่ากลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเด็กมัธยมต้น ซึ่งมีทั้งหญิงและชายพอๆ กัน และง่ายที่มิจฉาชีพจะล่อลวงเด็ก เพราะการแชตไลน์ มีทั้งคุยแบบตัวต่อตัว คุยพร้อมกันหลายๆ สาย เมื่อคุยกันก็จะถามข้อมูลส่วนตัว บ้าน โรงเรียน เบอร์โทร. หลายคนนัดเจอกัน ถ้าหากโทรไปแล้วไม่เจอก็มีการฝากข้อความเสียงไว้ ใครอยากรู้จักก็เข้ามา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการหาแฟน คุยเซ็กซ์โฟน การเล่นแชทไลน์จึงมีความใกล้เคียงเวบโป๊อนาจารมาก
“แต่สิ่งที่แพร่หลายเปิดเผยมากในแชตไลน์ คือ การขายบริการทางเพศ มีผู้หญิงมากมายที่เข้ามาฝากข้อความ อาทิ “ขายค่ะ ใครซื้อเข้ามาคุยกันนะ” “อยากคุยเสียว มาคุยกัน” หรือ “กำลังร้อนเงินสนใจกด 2 มาคุยกันนะ” ซึ่งมูลนิธิลองเข้าไปคุยกับผู้หญิงคนนี้ แล้วนัดพบกัน โดยเธอเสนอขายบริการราคา 1.000 บาท และเล่าให้ฟังว่าเธอเริ่มเล่นแชทไลน์ไม่นาน ได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งและมีเพศสัมพันธ์กัน ชายคนนี้ให้เงิน 1,500 บาท ทั้งยังบอกด้วยว่า ในแชตไลน์มีแต่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มาขายบริการ พวกผู้ชายจึงชอบเข้ามาหาเหยื่อ ทั้งซื้อบริการและหลอกมาข่มขืนแบบไม่เสียเงิน”นายเอกลักษณ์ กล่าว
นายเอกลักษณ์ กล่าวด้วยว่า การแชตไลน์ทำให้เด็กบางกลุ่ม แสดงพฤติกรรมด้านมืด เช่น ด่าทอบุพการีกันอย่างหยาบคาย พูดคุยแต่เรื่องเพศ และใช้เป็นช่องทางหาแฟน เด็กบางคนติดการแชตไลน์ ต้องเข้าไปใช้บริการทุกวัน หลายคนให้ข้อมูลตรงกันว่าต้องโทร.แชตไลน์ไม่ต่ำกว่าวันละ 10 ครั้ง ซึ่งมีเด็กหลายพันคนที่อยู่ในวงจรนี้ วันหนึ่งลูกหลานของใครอาจโชคร้ายถูกล่อลวงก็ได้ ขณะนี้มีผู้ปกครองจำนวนมาก ที่โทรศัพท์เข้ามาสอบถาม เพราะลูกหลานมีพฤติกรรมผิดปกติ ติดโทรศัพท์ และหายออกไปค้างคืนนอกบ้านโดยที่ไม่ได้ไปกับกลุ่มเพื่อนที่รู้จัก
“เคยสอบถามไปยังผู้ให้บริการโทรศัทพ์ ทราบว่าเจตนารมณ์แรกๆ ในการเปิดห้องแชตรูมไว้เพื่อให้คุยสาระต่างๆ เช่น ห้องคนรักแมว ห้องคนรักสุนัข แต่ข้อเท็จจริงการเปิดห้องเหล่านี้ บริษัทไม่มีการกลับมาตรวจสอบกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ การตั้งชื่อห้องจึงเป็นการตั้งชื่อเฉยๆ แต่กลับแฝงด้วยมิจฉาชีพ เป็นการค้าบริหารทางเพศที่มีมานาน โดยเริ่มจากการพูดคุยทางอินเทอร์เน็ต แลกเบอร์คุยโทรศัพท์กัน จนในที่สุดออกจากบ้านนัดเจอ และจบลงด้วยการมีเพศสัมพันธ์ และในที่สุดก็นำไปการขายบริการ” นายเอกลักษณ์กล่าว
นายเอกลักษณ์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ข้อมูลเฉพาะศูนย์คนหายที่ได้รับแจ้งจากพ่อแม่ผู้ปกครองประมาร 500 คน 70% สามารถหาเจอ ซึ่งในจำนวนนี้หลังจากได้สัมภาษณ์พบว่ามีเด็กหญิงไม่น้อยกว่า 5 คน อายุเฉลี่ยไม่เกิน 15 ปี หรือประมาณ 10% ออกจากบ้านทั้งถูกล่อลวงแบบเต็มใจและไม่เต็มใจ เนื่องมาจากการแชทไลน์
“เรื่องนี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ไม่น่าเชื่อว่าการเปิดให้บริการแชทไลน์หากินกับเยาวชนและสังคมแบบนี้ ไม่ต้องมีการขอใบอนุญาต และไม่ถูกควบคุมอยู่ภายใต้กฏหมายใดๆ ทั้งสิ้น การให้บริการทางเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน ยังมีช่องว่างทางกฏหมายอยู่หลายอย่างใครจะเปิดให้บริการอะไรก็ได้ ซึ่งข้อเท็จจริงควรจะต้องมีหน่วยงานเข้าไปกำกับดูแล จัดระเบียบการให้บริการที่เหมาะสม อย่างกรณีแชตไลน์ 02 ผู้ประกอบการควรใส่ใจต่อการดำเนินธุรกิจของตนเองด้วยว่าจะเกิดผลกระทบต่อสังคมหรือไม่ การให้บริการต่างๆ ที่มีเด็กและเยาวชนเข้าไปใช้บริการ ก็ควรจะมีมาตรฐาน ต้องมีการลงทะเบียนผู้ใช้บริการว่าใครเป็นผู้ใช้บริการหรือเป็นสมาชิกของระบบบ้าง และต้องมีผู้ดูแลระบบคอยตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สังคมต้องสร้างบรรทัดฐานแบบนี้ขึ้นมาด้วยการไม่ยอมรับการให้บริการที่เอาเปรียบและขาดความรับผิดชอบต่อสังคม” นายเอกลักษณ์ กล่าว
ด้าน น.ส.ลัดดา ตั้งสุภาชัย ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กล่าวว่า การเฝ้าระวังแชตไลน์ 02 ยังไม่ค่อยได้รับทราบข้อมูล เนื่องจากมีผู้แจ้งเข้ามาน้อยมากส่วนใหญ่ยังคงเป็นปัญหาการเข้าไปเว็บลามก ซึ่งกว้างมากกว่า จึงถือเป็นภัยเงียบที่รอระเบิดเวลา เป็นปัญหาใหญ่ไม่ต่างจากเว็บลามก นอกจากนี้ สื่งที่น่าเป็นห่วง คือ การใช้มือถือซึ่งเด็กใช้เป็นส่วนตัวในห้องนอน ที่พ่อแม่ก็อาจรู้ได้ ทำให้เฝ้าระวังลำบาก ส่วนการแชตไลน์เบอร์ 02 เห็นว่าควรปิดเบอร์เหล่านั้นไปก่อน หรือถ้าไม่ปิดก็ต้องมีมาตรการอื่นๆ ตามมา ซึ่งในวันที่ 2 พ.ย.จะเชิญผู้ประกอบการหนังสือลามกมาหารือ แล้ววันที่ 5 พ.ย.เป็นเรื่อง สื่อลามก และเล่นแชตไลน์เป็นอันดับต่อไป
“ถ้าปล่อยไว้จะเกิดปัญหาในอนาคต คงต้องสั่งปิดไปเลย ช่วยกันประโคมข่าว ช่วยกันกำจัด ถ้าคนกลุ่มหนึ่งที่ใช้บริการดังกล่าวประมาณ 5 แสนคนไม่เห็นด้วย แต่ประเทศไทยมี 64 ล้านคน เขาทำไม่ดีแล้วปิด เรื่องนี้เป็นเรื่องจิตใจ รู้ว่าไม่ดีและจะปล่อยให้ลอยนวลได้อย่างไร เขาจะมาออกมาโวยวายในสิ่งใดอีก เพราะสิ่งที่พวกเขาทำคือการทำลายของประเทศ คน 5 แสนคนจะลุกมาประท้วง ต้องดูว่าอะไรถูกผิด ไม่ใช่ประท้วงตลอดเวลา อย่าลืมมีพลังเงียบอยู่ 60 กว่าล้านคน พวกเขาอาจขว้างหินใส่หน้าคุณก็ได้”น.ส.ลัดดากล่าว
น.ส.ลัดดา กล่าวต่อด้วยว่า การเรียกร้องโดยอ้างสิทธิเสรีภาพในสังคมไทยก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าดูเหมือนจะเป็นสังคมที่กระหายประชาธิปไตย แต่ในโลกอินเทอร์เน็ต ในเว็บไซต์ทุกคนกลับทำตัวเป็นศาลเตี้ย ล้ำเส้น ประณามบุคคลอื่นๆ ในเว็บ ถือเป็นสังคมประชาธิไตยที่ใช้ไม่ได้ ดังนั้น ควรจะจะต้องเข้ามาจัดการดูแล คงจะต้องหาแนวทางคนที่ให้คนที่ทำอาชีพนี้ แสดงความเห็นมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ดีกว่าให้กระทรวงคิดคนเดียว เป็นไปได้หรือไม่ในสิ่งที่เสนอ
ด้านนายสุนิตย์ เชรษฐา ผจก.แผนงานไอซีที สสส.กล่าวว่า นอกจากการแชตไลน์ผ่านทางหมายเลขโทรศัพท์ 02 แล้ว ขณะนี้มีเว็บผองเพื่อน (social networking sites) ที่ให้บริการออนไลน์ สร้างเว็บส่วนตัว ให้ผู้ใช้ใส่รูป ใส่คลิปวิดีโอ ข้อมูลส่วนตัว ความสนใจทุกอย่างของตัวเองลงไป แล้วชวนเพื่อนเข้ามาดู จากนั้นก็จะดูกันต่อเนื่องแบบลูกโซ่ คนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยก็ได้เข้ารู้จักกัน และรู้เรื่องราวชีวิตทุกอย่างผ่านเว็บโซต์นี้ ซึ่งเมื่อตรวจสอบเว็บที่คนไทยเข้าดูมากที่สุด ปรากฏว่า อันดับที่ 3 คือ เว็บผองเพื่อนที่ชื่อ ไฮไฟว์(hi5) รองจาก กูเกิล และฮอตเมล์ รวมถึงโปรแกรมในมือถือที่สามารถใส่รูปและพูดคุย โดยรูปจากมือถือจะไปโชว์ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกฝ่ายได้ทันที
“เว็บแบบนี้โตแบบดอกเห็ดกระจัดกระจาย อยากรู้จักกันก็เป็นอีกช่องทางที่จะได้เบอร์ ซึ่งอนาคตจะเป็นปัญหาที่คุมยาก เพราะสิ่งที่เป็นอันตรายคือ พวกมิจฉาชีพรู้ข้อมูลส่วนตัว และค่อยๆ เรียนรู้พฤติกรรมของเหยื่อจนหลอกว่าเป็นเพื่อนจนตายใจ แล้วจึงนัดออกไปกระทำชำเราหรือทำร้าย แม้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เยาวชนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์จะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวง่ายแก่การล่อลวงมากขึ้น ทั้งนี้เริ่มมีแฟชั่นที่วัยรุ่นไทยเอารูปวับๆแวมๆ ของตัวเอง ขึ้นโชว์บนเว็บไซต์ส่วนตัว ซึ่งน่าเป็นห่วงแฟชั่นแบบผิดๆ นี้”นายสุนิตย์ กล่าว
นายสุนิตย์ กล่าวว่า นอกจากเว็บไซต์ผองเพื่อนชื่อไฮไฟว์ (hi5) ที่มีคนไทยเป็นสมาชิกอย่างน้อย 4 แสนคนแล้ว ยังมีเว็บไซต์ลักษณะเดียวกันอีกคือ มัลติพลาย (multiply) มีผู้ใช้ประมาณแสนคน และเฟซบุ๊ก (facebook) มีสมาชิกคนไทยอย่างน้อย 3 หมื่นคน หรือแม้แต่เว็บกระปุกแพลเน็ต เช่นเดียวกับอังกฤษที่ 78% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต เป็นสมาชิกของเว็บผองเพื่อนเหล่านี้ด้วย
ขณะที่ พ.ต.ท.ปัญญา ชะเอมเทศ สว.งาน1 กก.1 บก.ปดส. กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาการล่อลวงผ่านแชตไลน์ 02 นั้น ต้องเริ่มจัดระเบียบผู้ให้และผู้รับบริการ ในส่วนของผู้ให้ต้องมาขออนุญาตในการเปิดให้บริการดังกล่าว มีการทำสัญญาสัมปทานระบุอย่างชัดเจนว่าห้ามกระทำการใดๆ ที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากทำผิดก็สามารถดำเนินคดีได้ทันที และนอกจากนี้ต้องมีระบบในการเก็บข้อมูลในการสนทนาประมาณ 90 วัน เพื่อเป็นข้อมูลกรณีที่เด็กหายตัวไปจะได้ทราบเบาะแสว่าคุยกับใคร และตามไปหาผู้สนทนาด้วย
“ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ใช้บริการต้องลงทะเบียนก่อนเข้าใช้บริการ โดยอาจจะเป็นการกรอกเลขบัตรประชาชน 13 หลัก หรือเป็นตัวเลข 4 หลัก หรือข้อมูลอื่นๆ ก็ได้ เพราะหากไม่เริ่มจะออกระเบียบมาตรการควบคุมของผู้ให้บริการก่อนแล้วก็จะไม่สามารถควบคุมการดำเนินการใดๆ ได้เลย เพราะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการใดๆ ได้คือ ต้องมีอาวุธซึ่งอาวุธก็คือ กฎระเบียบ” พ.ต.ท.ปัญญา กล่าว