สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จเป็นประธานในพิธีลงนามเจตนารมณ์ของภาคีเรารักษ์เจ้าพระยา ด้าน กทม.ผนึกกำลังร่วมกับ 100 ภาคี จัดโครงการ “เรารักษ์เจ้าพระยา” เพื่อสนองพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในการอนุรักษ์ฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองทั่วประเทศ ขณะที่อธิบดีสิ่งแวดล้อมเผยผลักดันให้ส่วนปกครองท้องถิ่นมีระบบระบายน้ำที่ดี
วันนี้ (25 ต.ค.) เวลา 15.50 น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จโดยรถยนต์พระที่นั่งถึงยังสวนสันติชัยปราการ กรุงเทพฯ เพื่อเป็นประธานในพิธีลงนามเจตนารมณ์ของภาคีเรารักษ์เจ้าพระยา และพระราชทานโล่แก่ภาคีที่เข้าร่วมจำนวน 100 องค์กร จากนั้นทรงทอดพระเนตรนิทรรศการเรารักษ์เจ้าพระยา และเสด็จกลับในเวลา 16.13 น.โดย นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน กลุ่มเยาวชน ริมฝั่งแม่ย้ำเจ้าพระยา เฝ้ารับเสด็จ
นายอภิรักษ์ กล่าวว่า เพื่อสนองพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2550 เกี่ยวกับการรักษาแม่น้ำต่างๆ ไว้ โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยา ทาง กทม.จึงได้ร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ผู้ประกอบการ กลุ่มเป้าหมาย ที่ตั้งอยู่บริเวณริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่ 17 เขต ร่วมรณรงค์ “เรารักษ์เจ้าพระยา” เพื่อให้แม่น้ำกลับมาสวยงาม ใสสะอาด รวมทั้งรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้คนกรุงเทพฯ ได้เห็นถึงความสำคัญของแม่น้ำเจ้าพระยา และเพื่อสร้างความเข้าใจในการรักษ์แม่น้ำ รวมไปถึงการรักษาสภาพแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นายอภิรักษ์ ยังกล่าวอีกว่า ในการลงนามปฏิญญา เพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการดูแลรักษาอนุรักษ์แม่น้ำนั้น มีทั้งหมด 7 ข้อด้วยกัน คือ 1.อนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ แหล่งศิลปะวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชนริมน้ำ เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์มรดกทางวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่มีคุณค่าของท้องถิ่น 2.ส่งเสริมและสนับสนุนบทบาทการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชน ชุมชน หน่วยงาน ภาครัฐและเอกชน องค์กรต่างๆ และปัจเจกบุคคลให้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ำเจ้าพระยา 3.เฝ้าระวังดูแลระงับเหตุ และกิจกรรมที่จะทำลายคุณภาพน้ำในแม่น้ำ คู คลอง 4.สนับสนุนและส่งเสริมการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เหมาะสม เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ำเจ้าพระยา 5.ส่งเสริมให้มีกิจกรรมในการใช้ประโยชน์แม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเหมาะสม ไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชุมชนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา 6. สร้างความเข้มแข็งให้กับทุกภาคส่วนของสังคม โดยให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับคุณค่าและความสำคัญของแม่น้ำเจ้าพระยา แนวทางการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำเจ้าพระยา และ7. ส่งเสริมให้ชุมชนและสถานประกอบการที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา รวมกลุ่มกันอนุรักษ์และดูแลแม่น้ำเจ้าพระยา โดยให้องค์กรชุมชนในท้องถิ่นเป็นผู้ริเริ่มจัดกิจกรรมด้านอนุรักษ์และดูแลแม่น้ำเจ้าพระยา โดยการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน
ทั้งนี้ ตัวแทนจากองค์กรภาคียังได้ร่วมปล่อยพันธุ์ปลา จำนวน 229,999 ตัว ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา โดยทางกรมประมงเป็นผู้จัดเตรียม ซึ่งได้แก่ ปลาตะเพียนขาว จำนวน 200,000 ตัว ปลากาดำ 50,000 ตัว ปลาโพง 40,000 ตัว ปลา ตะเพียนทอง 39,000 ตัว ปลากระแห 3,000 ตัว ปลาแก้มช้ำ 3,000 ตัว และปลาบึก 99 ตัว
ด้าน ดร.มณทิพย์ ศรีรัตนา ทาบูกานอน อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมกล่าวว่า ในส่วนของกรมเองก็ได้มีส่วนผลักดันเพื่อที่จะให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นของแต่ละจังหวัดจัดการเรื่องระบบระบายน้ำ เพราะเท่าที่ทราบมา ในส่วนของท้องถิ่นเองยังไม่มีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเริมต้นที่ จ.นครสวรรค์ เป็นพื้นที่นำร่อง ขณะนี้ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังจังหวัดต่างๆแล้ว และอีกโครงการที่ดำเนินการอยู่ คือ โครงการอาสาสมัครทรัพยากรธรรมชาติหมู่บ้าน ตอนนี้มีสมาชิกจำนวน 5 หมื่นคน จากทั่วประเทศ เพื่อช่วยในการดูและทรัพยากรทั้งทางบก และทางน้ำ ร่วมกัน ซึ่งในวันที่ 4 ธ.ค.นี้ เป็นวันสิ่งแวดล้อมไทยทางกรมจะผลักดันให้เป็นวันอาสาสมัครสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านแห่งชาติด้วย


