รพ.ภูมิพล ดึงคลินิกในชุมชนคัดกรองโรคพื้นฐานก่อนถึง รพ.ลดความแออัด หลังพบผู้ป่วยนอกล้นกว่า 3 พันราย/วัน ส่งผลภาระงานของเจ้าหน้าที่ล้น ผู้ป่วยได้รับบริการไม่ทั่วถึงปรับบทบาทครั้งใหญ่ เน้นเป็น รพ.รับ-ส่งต่อรักษาโรคยาก ส่งผลผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ แพทย์-พยาบาล ภาระงานน้อยลงดูแลผู้ป่วยได้เต็มที่ ด้านเลขาฯ สปสช.เผย รพ.ขนาดใหญ่ใน กทม.7 แห่ง โดดเข้าร่วมโครงการลดความแออัด
วันนี้ (24 ต.ค.) นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมผลการดำเนินงานโครงการลดความแออัด และคลินิกชุมชนอบอุ่นของ รพ.ภูมิพล โดยมี พล.อ.ต.ศรีชัย ชัยพฤกษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วย น.อ.เฉลิมพร บุญศิริ ผู้ประกอบการสถานพยาบาลภานพคลินิกเวชกรรม ให้การต้อนรับ
นพ.สงวน กล่าวว่า ขณะนี้ สปสช.ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้ร่วมกันจัดทำโครงการพัฒนา รพ.“บริการประทับใจ ไร้ความแออัด พัฒนาเครือข่าย” เป็นโครงการต่อเนื่อง 3 ปี ใช้งบประมาณ สปสช.จากงบลงทุนเพื่อพัฒนาบริการปฐมภูมิในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติวงเงิน 150 ล้านบาท นำร่อง 13 จังหวัด รวมกรุงเทพมหานคร ซึ่งมี รพ.ขนาดใหญ่เข้าร่วมโครงการ 7 แห่ง ดังนี้ รพ.วชิระปราการ รพ.นพรัตน์ราชธานี รพ.ราชวิถี รพ.รามาธิบดี รพ.ภูมิพลอดุลยเดช รพ.จุฬาลงกรณ์ และ รพ.ศิริราช
“รพ.ภูมิพล ได้ดำเนินการลดความแออัด ด้วยการเปิดรับคลินิกเพื่อให้เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิของ รพ.ซึ่งจะเกิดประโยชน์ทั้งแพทย์-พยาบาล และประชาชน ภาระงานไม่หนัก โรคเบื้องต้นทั่วไปคลินิกมีศักยภาพรักษาพยาบาลได้ โรคที่รุนแรงส่งต่อให้ รพ.ภูมิพลดูแล ประชาชนได้รับการดูแลที่ดีขึ้นนับเป็นตัวอย่างการลดความแออัดในรพ.ขนาดใหญ่ต่อไป”เลขาธิการ สปสช.กล่าว
ด้านพล.อ.ต.ศรีชัย ชัยพฤกษ์ กล่าวว่า สถานการณ์ของ รพ.ภูมิพลค่อนข้างมีปัญหาเรื่องจำนวนผู้ป่วยนอกที่แออัดมีกว่า 3,000 คนต่อวัน ขณะเดียวกัน ยังเป็นหน่วยรับส่งต่อแก่ผู้มีสิทธิระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 190,000 ราย ส่งผลให้การบริการผู้ป่วยนอกของ รพ.แออัดมากการบริการมีปัญหา ทาง รพ.ภูมิพล จึงมีแนวทางที่ต้องการลดความแออัดลง เนื่องจากผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์จำนวนมาก และผู้ป่วยที่มา รพ.ขนาดใหญ่นั้น มีอาการเล็กน้อย เช่น เป็นไข้หวัด หรือผู้ป่วยที่พ้นวิกฤตแล้ว แต่ต้องการได้รับการติดตามรักษาอย่างต่อเนื่องจากแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป หรือพยาบาลเวชปฏิบัติที่ผ่านการอบรมเป็นอย่างดี ซึ่ง รพ.ภูมิพล เป็นตัวอย่างแห่งหนึ่งที่ดึงคลินิกที่มีคุณภาพให้เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิของ รพ.และเปลี่ยนบทบาทของรพ.เป็นหน่วยบริการรับ-ส่งต่อแทน
“ทั้งนี้ คลินิกที่เข้าร่วมเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิต้องเตรียมการพัฒนาคลินิกให้มีศักยภาพเพียงพอ ทั้งการบริการ การส่งต่อ การใช้ยา การป้องกัน และควบคุมการติดเชื้อ การเยี่ยมบ้าน การทำงานกับชุมชนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในด้านคุณภาพ มาตรฐาน และความสะดวกในการให้บริการ อย่างไรก็ตาม รพ.มีเครือข่ายที่เป็นคลินิกชุมชนอบอุ่น 27 แห่ง ศูนย์บริการสาธารณสุข 7 แห่ง” พล.อ.ต.ศรีชัย กล่าว
น.อ.เฉลิมพรกล่าวว่า ภาพคลินิกเวชกรรมเป็นคลินิกแห่งหนึ่งของรพ.ภูมิพล ที่ให้บริการปฐมภูมิ คือ บริการรักษาพยาบาลเบื้องต้น ถือเป็นการตรวจคัดกรองก่อนมาถึง รพ.ภูมิพล ซึ่งทาง รพ.ภูมิพล เอง ก็จะเน้นความสำคัญในเรื่องการรับ-ส่งต่อผู้ป่วยที่เป็นกรณีโรครุนแรง เกินศักยภาพของคลินิกก็ส่งมาที่ รพ.ภูมิพล และยังมีกิจกรรมเชิงรุก การเยี่ยมบ้าน การทำงานกับชุมชน รวมถึงมีระบบข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลกับ รพ.ภูมิพล ด้วย
วันนี้ (24 ต.ค.) นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมผลการดำเนินงานโครงการลดความแออัด และคลินิกชุมชนอบอุ่นของ รพ.ภูมิพล โดยมี พล.อ.ต.ศรีชัย ชัยพฤกษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วย น.อ.เฉลิมพร บุญศิริ ผู้ประกอบการสถานพยาบาลภานพคลินิกเวชกรรม ให้การต้อนรับ
นพ.สงวน กล่าวว่า ขณะนี้ สปสช.ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้ร่วมกันจัดทำโครงการพัฒนา รพ.“บริการประทับใจ ไร้ความแออัด พัฒนาเครือข่าย” เป็นโครงการต่อเนื่อง 3 ปี ใช้งบประมาณ สปสช.จากงบลงทุนเพื่อพัฒนาบริการปฐมภูมิในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติวงเงิน 150 ล้านบาท นำร่อง 13 จังหวัด รวมกรุงเทพมหานคร ซึ่งมี รพ.ขนาดใหญ่เข้าร่วมโครงการ 7 แห่ง ดังนี้ รพ.วชิระปราการ รพ.นพรัตน์ราชธานี รพ.ราชวิถี รพ.รามาธิบดี รพ.ภูมิพลอดุลยเดช รพ.จุฬาลงกรณ์ และ รพ.ศิริราช
“รพ.ภูมิพล ได้ดำเนินการลดความแออัด ด้วยการเปิดรับคลินิกเพื่อให้เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิของ รพ.ซึ่งจะเกิดประโยชน์ทั้งแพทย์-พยาบาล และประชาชน ภาระงานไม่หนัก โรคเบื้องต้นทั่วไปคลินิกมีศักยภาพรักษาพยาบาลได้ โรคที่รุนแรงส่งต่อให้ รพ.ภูมิพลดูแล ประชาชนได้รับการดูแลที่ดีขึ้นนับเป็นตัวอย่างการลดความแออัดในรพ.ขนาดใหญ่ต่อไป”เลขาธิการ สปสช.กล่าว
ด้านพล.อ.ต.ศรีชัย ชัยพฤกษ์ กล่าวว่า สถานการณ์ของ รพ.ภูมิพลค่อนข้างมีปัญหาเรื่องจำนวนผู้ป่วยนอกที่แออัดมีกว่า 3,000 คนต่อวัน ขณะเดียวกัน ยังเป็นหน่วยรับส่งต่อแก่ผู้มีสิทธิระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 190,000 ราย ส่งผลให้การบริการผู้ป่วยนอกของ รพ.แออัดมากการบริการมีปัญหา ทาง รพ.ภูมิพล จึงมีแนวทางที่ต้องการลดความแออัดลง เนื่องจากผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์จำนวนมาก และผู้ป่วยที่มา รพ.ขนาดใหญ่นั้น มีอาการเล็กน้อย เช่น เป็นไข้หวัด หรือผู้ป่วยที่พ้นวิกฤตแล้ว แต่ต้องการได้รับการติดตามรักษาอย่างต่อเนื่องจากแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป หรือพยาบาลเวชปฏิบัติที่ผ่านการอบรมเป็นอย่างดี ซึ่ง รพ.ภูมิพล เป็นตัวอย่างแห่งหนึ่งที่ดึงคลินิกที่มีคุณภาพให้เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิของ รพ.และเปลี่ยนบทบาทของรพ.เป็นหน่วยบริการรับ-ส่งต่อแทน
“ทั้งนี้ คลินิกที่เข้าร่วมเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิต้องเตรียมการพัฒนาคลินิกให้มีศักยภาพเพียงพอ ทั้งการบริการ การส่งต่อ การใช้ยา การป้องกัน และควบคุมการติดเชื้อ การเยี่ยมบ้าน การทำงานกับชุมชนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในด้านคุณภาพ มาตรฐาน และความสะดวกในการให้บริการ อย่างไรก็ตาม รพ.มีเครือข่ายที่เป็นคลินิกชุมชนอบอุ่น 27 แห่ง ศูนย์บริการสาธารณสุข 7 แห่ง” พล.อ.ต.ศรีชัย กล่าว
น.อ.เฉลิมพรกล่าวว่า ภาพคลินิกเวชกรรมเป็นคลินิกแห่งหนึ่งของรพ.ภูมิพล ที่ให้บริการปฐมภูมิ คือ บริการรักษาพยาบาลเบื้องต้น ถือเป็นการตรวจคัดกรองก่อนมาถึง รพ.ภูมิพล ซึ่งทาง รพ.ภูมิพล เอง ก็จะเน้นความสำคัญในเรื่องการรับ-ส่งต่อผู้ป่วยที่เป็นกรณีโรครุนแรง เกินศักยภาพของคลินิกก็ส่งมาที่ รพ.ภูมิพล และยังมีกิจกรรมเชิงรุก การเยี่ยมบ้าน การทำงานกับชุมชน รวมถึงมีระบบข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลกับ รพ.ภูมิพล ด้วย