แม้ว่าข่าวการเสียชีวิตของ “รวิวรรณ เสตะรัต” จะทำให้วงการศัลยกรรมความงามสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ผู้รักความสวยงามเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่า ภัยจากศัลยกรรมความงาม จะหมดไป เพราะยังคงมีการร้องเรียนปัญหาจากการทำศัลยกรรมให้ได้ยินอยู่เนืองๆ
ที่สำคัญคือ ในปัจจุบันมีสถานพยาบาลและคลินิกศัลยกรรมความงามมากมายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งนั่นเป็นภาระใหญ่ของสถาบันที่กำกับดูแลมาตรฐานวิชาชีพ อย่างแพทยสภา สมาคมศัลยกรรมแห่งประเทศไทย รวมถึงกองประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุขจะต้องให้ความใส่ใจมากเป็นพิเศษ
-1-
นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ ผู้อำนวยการกองการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้ข้อมูลว่า จริงๆ แล้วสถานเสริมความงามเหล่านี้ทางกระทรวงมีระบบในการควบคุมและกำกับอยู่แล้ว กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลหรือคลินิกจะต้องขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยในส่วนของคลินิกสามารถแบ่งได้เป็น คลินิกเวชกรรมเฉพาะทาง และสหคลินิก ส่วนการบริการศัลยกรรมเสริมความงามในโรงพยาบาล กฎหมายบัญญัติให้ผู้ดำเนินการสถานพยาบาลเป็นผู้รับผิดชอบจัดหาแพทย์ที่มีคุณภาพที่กฎหมายกำหนด คือได้รับปริญญาบัตรในการให้บริการตามกฎหมาย นอกจากนี้ก็จะมีกฎหมายวิชาชีพเวชกรรมของแพทยสภากำกับดูแลมาตรฐานการรักษาด้วย
ทั้งนี้ ในปี 2549 มีการร้องเรียนทางกฎหมายเกี่ยวกับศัลยกรรมความงามจำนวน 436 ราย โดยส่วนใหญ่ร้องเรียนเรื่องมาตรฐานการรักษา ซึ่งเมื่อเกิดการร้องเรียนขึ้น ก็จะมีการพิจารณา 2 ส่วนด้วยกันคือ การพิจารณาในระดับจังหวัดด้วยการแต่งตั้งกรรมการสถานพยาบาลประจำจังหวัดขึ้น หากมีความผิดจะส่งต่อให้กับหน่วยที่รับผิดชอบอย่างแพทยสภา ลักษณะเดียวกับกรณีที่มีการมีร้อนเรียนเรื่องต่างๆ และการพิจารณาของคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม โดยมากมักจะใช้วิธีการไกล่เกลี่ยก่อน โดยเข้าไปดูแลค่าเสียหายที่เกิดขึ้น หากสามารถไกล่เกลี่ยกันได้ เรื่องก็จะยุติ แต่ในกรณีที่พบว่าสถานพยาบาลกระทำผิดจริงก็จะมีโทษ ตั้งแต่ปรับ ตักเตือน ภาคทัณฑ์ และการถอนใบประกอบวิชาชีพ
“ปัญหาที่พบส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่คุยกันได้ กว่าครึ่งหนึ่งของปัญหาร้องเรียนที่เกิดขึ้นสามารถไกล่เกลี่ยให้จบลงได้ ที่เหลือต้องนำเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล ซึ่งมีจำนวนไม่มาก”
นพ.ธเรศบอกด้วยว่า จริงๆ แล้วโจทย์ที่สำคัญในการแก้ปัญหาเรื่องนี้คือ ประชาชนคงต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองด้วยว่า การทำศัลยกรรมมีความจำเป็นหรือไม่ หากต้องการทำจริงๆ ก็จะต้องพิจารณาเลือกสถานประกอบการที่มีใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขถูกต้อง ตรวจสอบอย่างละเอียดว่าแพทย์ที่ทำการผ่าตัดมีความเชี่ยวชาญ มีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่ ซึ่งสามารถนำเลขประจำตัวของแพทย์ที่ให้บริการตรวจสอบทางเว็บไซต์ กองการประกอบโรคศิลปะ หรือโทรศัพท์สอบถาม ส่วนในต่างจังหวัดสามารถตรวจสอบไปยังสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) นอกจากนี้ ในการดูแลควบคุมสถานพยาบาล กองการประกอบโรคศิลปะจะมีการตรวจมาตรฐานทุกปี มีการต่อใบอนุญาต ส่วนสถานที่ได้รับการร้องเรียนก็จะมีการจับตาเป็นพิเศษ รวมทั้งคลินิกเถื่อนซึ่งตรวจพบเป็นระยะๆ
“ส่วนเทคนิควิธี วิทยาการใหม่ๆ จะมีราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย รวมถึงสหวิชาชีพต่างๆ เป็นผู้ดูแล ส่วนกระบวนการผ่าตัดเสริมความงาม หรือมาตรฐานการรักษาแพทยสภาจะเป็นผู้ควบคุม หากเทคนิควิธีการใดที่ได้ลงในเอกสารวิชาการ หากเชื่อถือได้ก็มีมาตรฐาน นอกจากนี้เครื่องมือแพทย์ก็จะต้องได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)” นพ.ธเรศแจกแจง
ขณะที่ นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา มองปัญหาการฟ้องร้องเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมว่า ปัจจุบันธุรกิจความงาม โดยเฉพาะการเสริมสวย ศัลยกรรมตกแต่ง มีการแข่งขันกันสูง มีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ประชาชนค่อนข้างให้ความสนใจกับความสวย ความงามเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้ เคยได้ยินมาว่า คลินิกบางแห่ง ผ่าตัดทั้งวันทั้งคืน เรียกว่า เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตามการที่คนไข้มีความคาดหวังจากการผ่าตัดเสริมสวยสูง ส่วนใหญ่คิดว่าทำศัลยกรรมแล้วต้องสวยขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องของความพึงพอใจเฉพาะบุคคล เมื่อผ่าตัดแล้ว แพทย์อาจจะมองว่า ดูดีแล้ว แต่คนไข้ยังไม่พอใจ ก็อาจเกิดปัญหาฟ้องร้อง ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่ถือเป็นความผิดพลาดจากการทำศัลยกรรม
“อย่างคนไข้เพิ่งผ่าตัด 2 วัน แล้วออกสื่อร้องว่า หน้าพังเพราะไปเสริมสวยคลินิกนั้น โรงพยาบาลนี้ ทั้งที่ความเป็นจริงแผลที่เกิดจากการผ่าตัดอาจยังไม่เข้าที่ หน้ายังบวมอยู่ แต่ก็โทษคนไข้อย่างเดียวไม่ได้เพราะแพทย์ที่ทำการผ่าตัดอาจให้ความหวังกับคนไข้สูงจนเกินไป ว่าจะต้องสวยขึ้นแน่ๆ โดยอาจไม่ได้บอกรายละเอียดให้ชัดเจนถึงผลข้างเคียงที่ได้รับหลังการผ่าตัด”
นายกแพทยสภาบอกด้วยว่า ความขัดแย้งถึงขั้นต้องฟ้องร้องต่อแพทยสภามีไม่มาก หลายๆ เรื่องเป็นกรณีที่แพทย์ที่ทำการผ่าตัดสามารถแก้ไขได้อยู่แล้ว ซึ่งจะแก้ไขให้จนกว่าคนไข้จะพอใจ ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้และแพทย์ด้วย คนไข้อาจจะขอแก้ไขกับแพทย์รายใหม่ ก็จะขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล
ทั้งนี้ โดยภาพรวมปัญหาที่มีการฟ้องร้องกับแพทยสภาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการรักษาผิวหน้าที่โฆษณาเกินจริง การผ่าตัดเต้านมที่มีปัญหา เช่น การใส่ถุงซิลิโคนไม่เท่ากัน ทำให้หน้าอกเล็กข้างใหญ่ข้าง ซึ่งแพทยสภาจะเคร่งครัดมากขึ้น ในเรื่องของการโฆษณา เช่น ห้ามโฆษณาเกินจริง หรือ ลด แลก แจก แถม ชักจูงให้มาใช้บริการหรือใช้แบบเหมาจ่ายก็ถือเป็นการลดราคา ถือเป็นความผิดเช่นเดียวกัน
“ส่วนใหญ่คนทำศัลยกรรมก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง เนื่องจากอาจมีปมด้อย ซึ่งแต่ละคนก็อาจไม่เหมือนกัน ดังนั้น การทำศัลยกรรมจึงเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ใครก็สามารถทำได้ เช่น คนที่ไม่มีแฟนก็อยากแก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้าให้ดูสวยขึ้น หรือแม้แต่คนที่มีสามีแล้วก็ยังทำศัลยกรรม อาจเพราะต้องการมัดใจสามี ซึ่งที่พูดถึงนี้ แพทยสภาไม่ได้สนับสนุนให้คนไปทำศัลยกรรม แต่นำความเป็นจริงของสังคมมาพูดคือ สังคมมีค่านิยมชอบความสวยงาม ข้อควรระมัดระวังก่อนที่จะเข้ารับการทำศัลยกรรมก็คือ ต้องสำรวจความต้องการของตนเองให้ละเอียดถี่ถ้วน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการผ่าตัดแปลงเพศควรปรึกษาจิตแพทย์ก่อน นอกจากนี้ควรเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน น่าเชื่อถือ แพทย์มีความเชี่ยวชาญ อย่าเลือกเพราะมีราคาถูก หรือ บอกต่อกันมาโดยที่ไม่มีการค้นคว้าข้อมูลมาก่อน”
- 2-
ขณะเดียวกันเมื่อมองในมุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่ง รศ.นพ. ศิรชัย จินดารักษ์ ศัลยแพทย์ตกแต่ง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ บอกว่า หากพูดถึงเฉพาะศัลยกรรมตกแต่งเพื่อความสวยงาม ในร่างกายของเราสามารถทำศัลยกรรมได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ที่พบว่าเป็นปัญหามากที่สุด คือ การผ่าตัดเสริมเต้านม ทั้งการเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นและการทำให้เต้านมกระชับ ซึ่งเมื่อใส่ถุงซิลิโคนลงไปในเต้านม ร่างกายจะสร้างผังพืดหุ้มถุงซิลิโคนนั้นไว้ ทำให้เต้านมแข็งไม่เป็นธรรมชาติ บางรายหากยกกระชับเต้านมก็อาจเป็นแผลรั้งที่บริเวณใต้รักแร้ ปัญหาแต่ละบุคคลจึงมีมากน้อยแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดย่อมมีความเสี่ยง แต่ทำแล้วถึงขั้นเสียชีวิตคงไม่มี ยิ่งในปัจจุบันถือการทำศัลยกรรมมีความเจริญก้าวหน้ากว่าเมื่อก่อนมาก ความเสี่ยงหรือภาวะแทรกซ้อนจึงเกิดขึ้นน้อย หากเป็นการทำศัลยกรรมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านการศึกษาอบรมมาโดยเฉพาะ เครื่องไม้ เครื่องมือได้มาตรฐาน สถานที่ดำเนินการมีความน่าเชื่อถือปลอดภัย ที่สำคัญเป็นไปตามข้อบ่งชี้หรือมาตรฐานจะค่อนข้างปลอดภัย
“ในการทำศัลยกรรมจะไม่แนะนำให้ฉีดสารทุกชนิดเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะทำให้ นูน เต่ง ตึง อูม ห้ามเด็ดขาดเพราะเป็นวิธีการทำศัลยกรรมที่ไม่ปลอดภัย ยังไม่ได้รับการยอมรับ ยกเว้น การฉีดโบท็อกซ์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น นอกจากควรเลือกทำด้วยวิธีการมาตรฐาน ไม่ใช่เชื่อโฆษณาอวดอ้าง เทคนิค แปลกใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อน จะมีความปลอดภัยมากกว่า สิ่งสำคัญ คือ ผู้ที่ตัดสินใจจะทำศัลยกรรมควรศึกษาข้อดีข้อเสียอย่างละเอียดรอบคอบ” ศัลยแพทย์ตกแต่งทิ้งท้าย