ในปัจจุบันนี้ กระแสการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนผู้รักสุขภาพโดยทั่วไป เนื่องจากสภาพชีวิตในวิถีโลกปัจจุบันนั้น กดดันให้ชีวิตคนในยุคนี้มีแต่ความเร่งรีบ ซึ่งนั่นทำให้เรา เหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ศาสตร์ต่างๆ ในการดูแลสุขภาพหลายต่อหลายแบบถูกคิดค้นขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในการดูแลสุขภาพของประชาชนจำนวนมากที่สนใจ โดยเฉพาะศาสตร์ที่สามารถได้ควบคู่กันทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ เช่น ศาสตร์ของ “ชี่กงพลังจักรวาล”
อาจารย์สินธุ์ ภิรมย์ภักดิ์ ผู้คิดค้นศาสตร์ชี่กงพลังจักรวาล เปิดเผยประวัติชีวิตตัวเองอย่างคร่าวๆ ว่า เป็นผู้ที่สนใจใฝ่ศึกษาในหลากหลายศาสตร์วิชา โดยเฉพาะศาสตร์เพื่อสุขภาพอย่างโยคะ ไทเก็ก ชี่กง เป็นต้น โดยเฉพาะโยคะ ที่ศึกษาและฝึกมาหลายสิบปี ก็รู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงในระดับหนึ่ง แต่โรคภัยไข้เจ็บที่มีอยู่ก็มิได้หายไป โดยเฉพาะอาการหมอนรองกระดูกต้นคออักเสบเรื้อรัง โรคกระเพาะ และโรคภูมิแพ้ จึงได้ลองศึกษาวิชาอื่นๆ และลองปรับประยุกต์เคล็ดวิชาต่างๆ ทดลองฝึกดูหลายๆ แบบ ในที่สุดก็มาลงตัวเป็นศาสตร์ใหม่ เมื่อนำเคล็ดวิชาหลักอย่างโยคะ ไทเก็ก และชี่กง ผสมผสานกันออกมาเป็น “ชี่กงพลังจักรวาล” ซึ่งหลังจากลองฝึกไประยะหนึ่ง ปรากฎว่าโรคที่ป่วยอยู่กลับหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยยาเคมีจากแพทย์แผนปัจจุบันอีกเลย
อาจารย์สินธุ์กล่าวต่อถึงหลักของ “ชี่กงพลังจักรวาล” ที่คิดค้นขึ้นมาว่า อยู่ที่การรับพลังจักรวาลและการเปิด “จักระ” โดยพลังจักรวาลในที่นี้ ก็คือพลังชีวิตที่อยู่ทั่วไปในบรรยากาศซึ่งเรามองไม่เห็น เช่นเดียวกับก๊าซออกซิเจนที่เรามองไม่เห็น แต่เป็นประโยชน์มากต่อร่างกาย
“พลังชีวิตเหล่านี้มีอยู่เต็มจักรวาล มีดวงอาทิตย์เป็นหัวหน้าใหญ่ ซึ่งขณะที่ดวงอาทิตย์ลุกไหม้ให้ความร้อนและแสงสว่างนั้น ก็ได้ส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังมหาศาลออกมา ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกพลังนี้ว่า คอสมิค (Cosmic) ซึ่งเราสามารถนำพลังนี้มาเติมพลังชีวิตให้แก่ร่างกายผ่านทาง “จักระ” ของเราได้หากเราเรียนรู้และฝึกทำอย่างถูกวิธี” อาจารย์สินธุ์กล่าว
ในส่วนของจักระนั้น ผู้คิดค้นวิชาขี่กงจักรวาลอธิบายว่า ในร่างกายของคนเรามีจุดจักระใหญ่ๆ อยู่ 7 จุด โดยที่จุดที่ใช้สอนลูกศิษย์โดยทั่วไปนั้น คือจุดจักระฝ่ามือ ที่มีจุดย่อยรวม 12 จุด ซึ่งจักระฝ่ามือนี้เป็นจุดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ไวต่อการรับพลัง รับพลังได้เร็ว รับพลังได้แรง ซึ่งภายหลังอาจารย์ได้เปิดจักระให้ผู้เรียนแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับผู้เรียนว่าจะรับพลังได้ช้า –เร็วแค่ไหน และเมื่อรับพลังได้แล้ว จะรู้สึกชาๆ ที่ประสาทปลายนิ้ว หรือมีอาการแปล๊บๆ ซึ่งเมื่อรับพลังได้แล้ว อาจารย์สินธุ์ก็จะแนะนำท่วงท่าที่จะใช้ฝึกรับพลังต่อไป
และหลังจากที่พอจะรู้ประวัติ ที่มา และเคล็ดวิชาหลักๆ ของ “ชี่กงพลังจักรวาล” ไปบ้างแล้ว ที่นี้ก็มาถึงเรื่องราวประสบการณ์ของผู้ที่มีโอกาสได้ศึกษาศาสตร์นี้กันอย่างจริงจังบ้าง เช่นสมเกียรติ เอื้อกิจประเสริฐ หนุ่มใหญ่วัย 46 นักบัญชีอิสระผู้ต้องทนทรมานกับอาการกระดูกคอทับเส้นประสาทและกระดูกเบ้าสะโพกเสื่อมอันเนื่องมาจากการเล่นตะกร้อในสมัยหนุ่มๆ เป็นสิบปี ที่เขาจำเป็นจะต้องไปพบแพทย์เพื่อเอายามากินอย่างต่อเนื่องเปิดเผยว่า นับเป็นโชคดีที่วันหนึ่งเปิดวิทยุแล้วได้รับทราบข่าวสารด้านสุขภาพที่พูดถึงชี่กงพลังจักรวาลของอาจารย์สินธุ์ จึงรู้สึกสนใจและเข้ามาฟังบรรยายในโครงการ “ผู้จัดการสุขภาพ” ณ บ้านเจ้าพระยา
“ผมใช้เวลาเรียนหลักเบื้องต้นอยู่ 2 วัน ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าพลังจักรวาลคืออะไร ก็ทำท่าพื้นฐานของอาจารย์ 6 ท่า คือแหวกฟ้า โอบฟ้า แหวกม่าน โอบม่าน กรรเชียง และว่ายน้ำ ก็คิดว่ามันเป็นท่าออกกำลังกายทั่วไป แต่จากนั้นอาจารย์สินธุ์ก็เปิดจักระให้ และแนะนำให้ใช้สมาธิประกอบการฝึกด้วย ตอนแรกผมก็ไม่มีสมาธิเท่าไหร่ คิดอยู่อย่างเดียวว่าอยากจะหาย ก็เลยนำที่อาจารย์อบรม 2 วันนั้นกลับไปฝึกที่บ้านอีก 1 เดือน อาจารย์เปิดคอร์สอีกหน ก็แนะนำให้น้องชายไปเรียน น้องชายเป็นคนมีสมาธิ รับพลังได้ทันที ผมก็เลยพยายามใช้สมาธิในการฝึก ก็เลยรับพลังได้ในที่สุด “
เมื่อถามถึงอาการที่รับรู้ว่ารับพลังได้ว่าเป็นอย่างไร หนุ่มใหญ่รายนี้เปิดเผยว่า รู้สึกซ่าๆ ที่ปลายนิ้วมือทั้งสิบ และรู้สึกว่ามีแรงดัน – แรงดูดที่ปลายนิ้วอีกด้วย และหลังจากที่ฝึกมาได้ประมาณ 1 เดือนภายหลังรับพลัง ปรากฏว่าอาการปวดคอทรมานทั้งหลาย ก็หายไปแบบปลิดทิ้ง ชนิดไม่ต้องแตะยาแผนปัจจุบันอีกเลย
ด้านลูกศิษย์อีกคนของอาจารย์สินธุ์อย่าง “สายพิน ลิขิตเลิศล้ำ” วัย 47 ปี กล่าวว่าแรกที่รู้สึกรับพลังจักรวาลภายหลังเปิดจักระได้ว่า เป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ และแปลกใจที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้ว่ามีศาสตร์ชนิดนี้อยู่ด้วย ทีแรกคนที่รับพลังอาจจะรู้สึกว่าเป็นอาการของคนขาดสารอาหารที่มีอาการชา ซ่าๆ หรือแปล๊บๆ ที่ปลายนิ้วมือ แต่ในความเป็นจริงแล้วอาการเหล่านี้แหละ คืออาการที่เราสามารถรับพลังที่จักรวาลสื่อออกมาได้
“ตอนนี้ทำมา 33 วันแล้ว ฝึกทึกวัน รู้สึกผ่อนคลาย คิดอะไรได้ตรงประเด็นมากขึ้น มีการเชื่อมโยงความคิดกับข้อมูลเก่าๆ ได้มากขึ้น และมีวิธีคิดที่เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น รวมถึงมีความจำดีขึ้นด้วย”
อ่านถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าศาสตร์ชี่กงพลังจักรวาลนี้สามารถทำได้เพียงรักษาทางกาย และเสริมสุขภาพกายของผู้ฝึกที่ไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ และวิศวกรหนุ่มวัย 35 ปี อย่าง “ประกาศิต จรรยา” เป็นตัวอย่างที่ดีในการบำบัดรักษาสุขภาพใจตัวเองด้วยศาสตร์ชี่กงพลังจักรวาลนี้ เขาเป็นวิศวกรของบริษัท ช. การช่าง ทีมที่รับผิดชอบการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินและสนามบินสุวรรณภูมิ
โดยเฉพาะในการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินที่เขาจะต้องลงไปปฏิบัติหน้าที่ใต้ดินที่มีความลึกกว่า 20 เมตรเป็นระยะเวลานานนับเดือน ทำให้มีอาการเวียนศีรษะ คิดอะไรไม่ออก และสับสนในทิศทางของเสียง ซึ่งมีปัญหามากกับการขับรถ พยายามรักษาก็ยังไม่หาย ทำให้ร่างกายสะสมโรคเอาไว้จนเกิดการเครียดและป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ต้องไปพบแพทย์สัปดาห์ละครั้ง รับยามากิน เมื่อกินยาแล้วก็จะซึมมากกว่าเดิม ชีวิตไม่เป็นสุขจากโรคร้ายที่รุมเร้า
“จนกระทั่งรุ่นพี่ที่ร่วมงานด้วยแนะนำให้รู้จักศาสตร์ชี่กงพลังจักรวาล ก็เริ่มจากการอ่านหนังสือของอาจารย์สินธุ์ทั้งสองเล่ม จากนั้นก็มาฝึก เมื่อเริ่มมาฝึก ก็รับรู้ถึงพลังจักรวาล แล้วผมฝึกแบบมีสมาธิด้วย ปรากฏว่าพอฝึกไปได้สักระยะก็รู้สึกว่าร่างกายสดชื่นขึ้น ตื่นเช้าขึ้น อาการปวดหัวหายไป หายไปเหมือนไม่เคยปวดมาก่อน ผมก็เลยหยุดยาทั้งหมดที่หมอให้มา”
และสำหรับลูกศิษย์รุ่นเล็กของอาจารย์สินธุ์อย่าง “น้องหมูทอง” ด.ช.ธนพล ขันติปาตี เปิดเผยว่ารู้จักวิชานี้จากพ่อแม่ที่เคยมาลองเรียนแล้วเมื่อเอากลับไปฝึกก็ปรากฏว่าร่างกายแข็งแรงขึ้น อาการเจ็บป่วยหายไป ก็เลยมาลองฝึกดูบ้าง และรู้สึกว่ารับพลังได้เร็วหลังจากเปิดจักระ แล้วหลังจากการฝึกระยะหนึ่งน้องหมูทองก็รู้สึกว่า ร่างกายแข็งแรงขึ้น
“ผมเป็นคนชอบเล่นกีฬา โดยเฉพาะฟุตบอล แต่วิ่งหนักๆ มันก็หอบเหมือนกัน พอมาลองฝึกชี่กงพลังจักรวาล ผมรู้สึกว่าวิ่งได้เยอะขึ้น เล่นกีฬ่าได้หนักๆ แล้วผมยังอ่านหนังสือได้นานขึ้นด้วย รู้สึกว่ามีสมาธิกับการเรียนมากขึ้น ผลสอบออกมาก็คะแนนดีกว่าเดิมด้วย” น้องหมูทองทิ้งท้าย