xs
xsm
sm
md
lg

เปิดความเห็นพระชั้นผู้ใหญ่ ปราชญ์ไทยต่อภาพ “ภิกษุสันดานกา”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พระเทพวิสุทธิกวี
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาสวิหาร
รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวางแผน มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย


เท่าที่ฟังแล้วเกิดความสับสนกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวของศิลปินเอง นักวิชาการ และผู้บริโภค ผู้บริโภคในที่นี้ ก็คือ ผู้ที่เห็นภาพผลงานศิลปะที่กำลังมีปัญหาในขณะนี้ กล่าวคือ ผู้บริโภคเห็นว่าเป็นภาพที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ ถ้าเห็นพระเดินไปไหนมาไหน คงต้องตั้งคำถามว่าสันดานกาหรือเปล่า ประเด็นแรก อาตมารู้สึกว่าศิลปินและคณะกรรมการตัดสินให้ข้อสรุปไม่ตรงกัน กล่าวคือ ยังไม่ตรงตามพระไตรปิฎกอย่างที่อ้างถึง ในกรณีที่สถานการณ์พระพุทธศาสนากำลังย่ำแย่อยู่ในขณะนี้ บอกกันตรงๆ ว่า ต่างคน ต่างความคิด ต่างลัทธิกัน อาตมาในฐานะชาวพุทธ ตัวศิลปินเองก็เป็นชาวพุทธ แต่ทำไมเสนอภาพที่มองดูแล้วเสียดสี ลบหลู่สงฆ์มาก ทำให้พระสงฆ์วางตัวลำบาก ในฐานะที่เป็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง มองภาพนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจมาก ยิ่งเมื่อเห็นว่านำเอาจีวรพระมาทำอีก ก็ยิ่งหนักใจมาก ถ้าพระตกนรก จีวรเหล่านั้น คงไม่ติดตัวมา ในพระไตรปิฎกจะไม่กล่าวอะไรชัดเจน ตามที่ศิลปินได้อ้างถึงพระไตรปิฎก จริงๆ แล้ว ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 24 ไม่ได้กล่าวถึงพระภิกษุที่ตกนรกแล้วไปเป็นอีกา สักยันต์เป็นลายตุ๊กแกเต็มตัว สร้างเสริมภาพในด้านลบมากกว่า

ภาพภิกษุสันดานกาดูว่าน่าจะแรง แต่มีแรงกว่านั้นอีก คือ ภาพหมา-นุษย์ ศิลปินนำจีวรมาห่มให้สุนัข ภาพนี้หมดสภาพเลยนะ พระสงฆ์เป็นผู้แทนของศาสนา อาตมาเคยบรรยายให้พุทธศาสนิกชนฟังว่า พุทธ

ศาสนิกชนเป็นพุทธบุตร พุทธชิโนรสกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้ามีลูก 4 คน ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

ลูกๆ ทั้งสี่กลุ่มนี้ต้องช่วยกันสร้างสรรค์ ยามใดที่เกิดปัญหาก็ต้องช่วยกันแก้ไข ไม่ใช่ช่วยกันเสียดสีให้แย่หนักลงไปกว่าเดิมอีก คณะกรรมการตัดสินเองก็เช่นกัน ค่อนข้างมีความเป็นอัตตาในตนเองสูง ตัดสินผลงานแล้วถอดถอนไม่ได้ ยิ่งกลับทำให้มีกระแสต้านมากขึ้นกว่าเดิม สังคมชาวพุทธในขณะนี้มีความรับผิดชอบมากน้อยขนาดไหน ความจริงสิ่งที่เลวมีมาก ไม่ใช่ไม่มี ไม่ว่าจะเป็นในวงการพระ วงการแม่ชี วงการนักการเมือง ฯลฯ ก็มีดีไม่ดีเหมือนกัน เราต้องกำจัดสิ่งไม่ดีเหล่านี้ออกไป แต่ไม่ใช่สร้างภาพออกมาประจานกัน สิ่งที่สำคัญของอาตมาเป็นห่วงศิลปิน ศิลปินมีความคิดเห็นอย่างไร และก็ไม่ทราบว่าศิลปินจะวาดภาพในลักษณะนี้ต่อไปอีกหรือไม่ ถ้าจะว่าไปแล้ว การวาดภาพนั้น มีหลายแง่หลายมุม สร้างสรรค์ออกมาให้สวยงามโดยอาศัยจินตนาการ ภาพที่ออกมาก็ดูน่ารื่นรมย์ แต่ดูเหมือนว่าศิลปินจะวาดภาพที่คนดู ดูแล้วรับไม่ได้ จะเกิดกระแสต่อต้าน ขัดแย้งกันทั้งสองฝ่าย จนเกิดเป็นความวุ่นวายทางสังคมเกิดขึ้น อาตมาเป็นห่วงในจุดนี้ ไม่ทราบว่าจะจบลงอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่ายังไม่ยอมกันอยู่ ปัญหาคงเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่สนับสนุนให้เกิดการแตกแยกกันเช่นนี้ อาตมามองเห็นว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรจะตระหนักถึงกันบ้าง ยอมรับความจริง คณะกรรมการตัดสินก็คงยืนกรานผลการตัดสินเหมือนเดิม ศิลปินเองไม่ใช่นักพูด ยิ่งมาตกเป็นข่าวในตอนนี้ก็ยิ่งจะถูกตำหนิมากขึ้น ความจริงศิลปินน่าจะปรับความคิดเสียใหม่ อาตมาสนับสนุนเกี่ยวกับงานด้านจิตรกรรมว่าเป็นการสร้างสรรค์ แต่บางคนดูถูกพระ หาว่าพระไม่รู้เรื่องศิลปะ ซึ่งจริงๆ แล้ว ศิลปะต่างๆ มีที่มาจากวัดทั้งนั้น แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง สิ่งใดที่พระองค์เห็นว่าคนชอบ เห็นได้ชัดเจน ท่านยังเลือกเวลา เลือกสถานที่ที่จะพูด ไม่ใช่ว่าจะพูดเรื่องที่เป็นจริงได้ในทุกที่ทุกเวลา ทำให้ไม่เกิดประโยชน์ในระยะยาว

แนวทางในการแก้ไขปัญหามีแน่นอน กล่าวคือ ทั้งสองฝ่ายต้องพร้อมใจกัน เท่าที่สังเกต จะเห็นว่าปัญหาที่แรงมาก ไม่ใช่ตัวศิลปินที่ดื้อดึง แต่น่าจะเป็นคณะกรรมการมากกว่าที่มีอัตตาสูงที่เข้าใจว่า ตนเองนั้นทำถูกต้องแล้ว ถ้าความถูกต้องนั้นมองไปให้ไกลกว่านี้ นั่นแสดงว่า ความคิดของท่านมองพระในเชิงลบ ไม่ใช่คิดดูแต่รูปอย่างเดียว ต้องคิดถึงความเป็นจริงทางสังคมด้วยแล้วถ่ายทอดออกมาให้สาธารณชนรับรู้ ต้องคิดถึงสาธารณชนด้วย ไม่ใช่นำเอาความคิดของตนเองไปเป็นตัวชี้วัดกับสาธารณชน เมื่อใดก็ตามที่เกิดความเสียหายในหมู่สาธารณชน จะทำให้ยิ่งแก้ไขปัญหายาก โดยส่วนตัวอาตมาคิดว่าปัญหาที่กำลังเป็นไปอยู่ในตอนนี้ จะแก้ไขได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการตัดสิน ส่วนศิลปินผู้วาดภาพนี้ก็เช่นกัน ควรที่จะนำดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมาพระรัตนตรัย อาตมาเชื่อว่าสิ่งก็ตามที่ชาวพุทธออกมาต่อต้าน ชาวพุทธคงให้อภัยได้
แต่ถ้ายังยืนกรานความคิดเดิม ปัญหาจะมีตามมาแบบไม่มีที่สิ้นสุด

พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลยาโณ)
เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว


รูปนี้สร้างความรู้สึกให้กับคนได้ 2 ประเภท คนที่อ่านหนังสือขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ หรืออ่านหนังสือจากท่านพระพุทธทาสมาแล้ว จะเข้าใจและไม่มีปัญหาเลย แต่ถ้าคนที่ไม่คุ้นเคย ไม่รู้เรื่องว่าในพระไตรปิฎกมีแบบนี้ คนพวกนี้ก็จะยัวะหน่อย โดยเฉพาะพระที่ไม่เคยอ่านก็จะเกิดความเดือดดาน ตามธรรมชาติของคน แต่คนที่เคยอ่านเรื่องขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์จากตำราพระไตรปิฎก หรือ ตำราดูพระ ที่อาตมาเคยอ่านมาเยอะแยะแล้ว เลยไม่มีปัญหาอะไร ถ้าคนไม่เคยอ่านก็จะเคืองแน่ๆ ถ้าจะจัดทำหนังสือเพื่อเผยแพร่ชี้แจงแนวความคิดของการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ เป็นการดี มีประโยชน์ ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย คือ ประโยชน์ฝ่ายที่คัดค้านก็จะได้รับฟังเหตุผล อีกฝ่ายประโยชน์ของคนเขียนภาพต้องพยายามสื่อและอธิบายให้เข้าใจ ว่า ตำนานเป็นอย่างไร ตัวของศิลปินเองรู้ว่าเข้าใจดี แต่พวกที่อ้างตัวเองว่าเป็นชาวพุทธแต่ตัวเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนั้นมีเยอะ ซึ่งภาพที่สื่อเข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร อยากจะสื่อว่าปัจจุบันยังมีพระแบบนี้อยู่ เพราะตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเคยเปรียบเทียบ และสอนไว้ แต่ปัญหามันอยู่ที่เราต้องพยายามชี้แจงให้ได้ ถ้าไม่ได้มันก็ลำบาก กับคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น จริง ๆ แล้วต้องหัดยอมรับความจริง จากสิ่งที่ผู้อื่นได้มาตำหนิติเตียนกันบ้าง พระพุทธเจ้าสอนว่าให้ยอมรับคำตำหนิ ติเตียนจากผู้อื่น การชี้โทษมานั้น คือ การชี้ขุมทรัพย์ให้เรา ผู้เขียนผู้นั้นคือผู้ที่มาชี้ขุมทรัพย์ให้กับเรา

พระราชวิจิตรปฏิภาณ (เจ้าคุณพิพิธ)
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม กทม.

ไม่ว่าจะเป็นกี่ยุคกี่สมัยภิกษุสันดานกาก็ยังมีอยู่ทุกแห่งหน ทั้งตามวัดไทยและวัดเทศ ไม่เพียงเฉพาะในคณะสงฆ์ ในหน่วยราชการเองก็ยังมีพวกฉ้อโกง คอรัปชั่น ไปเกาะกินเป็นอีกาฉ้อฉล และมักปรากฏเป็นข่าวบ่อยครั้งตามหน้าสื่อต่างๆ เมื่อมองย้อนไปในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ถือว่าเป็นยุคที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก แต่ทำไมพระเจ้าอโศกมหาราชจึงต้องสั่งตัดหัวพวกอลัชชีทิ้ง แสดงให้เห็นว่าเรื่องภิกษุสันดานกามีมานานแล้วในอดีตกาล ถึงในขณะนี้พระพุทธศาสนาในเมืองไทยก็กำลังอุดมสมบูรณ์มาก มากด้วยปัจจัยสี่ที่เกิดจากผล ไม่ใช่จากการบริหารคณะสงฆ์ที่เก่ง แต่เกิดจากคนมีหนังสือพระพุทธเจ้าอ่านมากกว่า เป็นเรื่องของการสื่อสาร,ฃ วิทยุ ทีวีที่มีคุณภาพ และมีพระนักเผยแพร่ที่ดี รวมถึงพระบรมราชูปถัมภ์ทุกพระองค์ทุกสมัย ฉะนั้น เมื่อพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองขึ้นจากการอุปถัมภ์ของพระมหากษัตริย์ที่มาประคองแล้ว จึงมีบุคคลเข้ามาอาศัยพระพุทธศาสนามากขึ้น พระที่ปลอมมาบวช เมื่อบวชมาแล้วจิตใจเปลี่ยนแปลง มุ่งมหาราชก็มี แต่ทำไมจึงมีปัญหามากมาย เหตุเพราะหนึ่งคนไม่กลัวบาป สำคัญตัวว่าเป็นอันเดียวกับพระผู้เป็นเจ้า อาบัติไม่กิน หนังเหนียว ความจริงเป็นหนังหนา หน้าด้าน สอง ขาดการปราบและปราม เป็นเพราะคณะสงฆ์ไม่มีอะไรปราบ พระผู้ใหญ่ขาดการปราม คือให้โอวาทแต่ก็อ่อนโอนผ่อนตามกับกระแส จึงมีการบริหารงานกันอย่างเกียจคร้าน ทำให้ไม่ยอมรับตัวเอง

ภาพภิกษุสันดานกาของศิลปินจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่พระผู้ใหญ่ท่านหนักใจ และสะเทือนใจ ที่ภาพดังกล่าวอาจจะไปต้องเกี่ยวกับใคร ขณะเดียวกันยังเป็นเนื้อความที่บอกอะไรหลายๆ อย่างให้กับสภาวะการปกครองของคณะสงฆ์ สภาพความอุดมสมบูรณ์อันเกิดจากความศรัทธา สภาพการที่พระบวชมาแล้วจิตใจเปลี่ยนแปลงไปด้วยกิเลส กับคนที่จะบวชมาเพื่อฉกฉวยโอกาสดำรงชีวิตและกอบโกย ถ้ามันบอกได้อย่างนี้แล้วและละอายแก่ใจ มันจะเป็นตัวกำแพงกั้น แต่ถ้าเห็นว่าเป็นการประจานการปกครองที่อ่อนแอและสะเทือนใจ ทำไมจึงต้องให้ยกเลิกภาพนี้ เพราะภาพนี้เป็นภาพที่ด้อยกว่าในมาลัยสูตรเสียอีก

ภิกษุสันดานกาในคัมภีร์มาลัยสูตรที่ได้จากสมุดข่อยโบราณสมัยอยุธยา ฉบับสมบูรณ์นั้น เราไม่สามารถหาดูภาพประกอบและค้นเนื้อความที่กล่าวถึงพระได้แล้ว เนื่องจากได้ถูกตัดทิ้งปัจจุบันคำสวดก็เลยบางลง เหตุไฉนจึงต้องตัดออก ประการหนึ่งมาลัยสูตรเป็นคัมภีร์ที่เดิมใครมาบวชต้องสวด ให้คนกับพระที่สวด ประการสองมาลัยสูตรแสดงภาพที่เกี่ยวกับพระที่ประพฤติไม่ดี เวรกรรมที่พระทำอาบัติจะเกิดเป็นสัตว์นรกต่างๆ มีผ้าเหลืองห้อยโหน เป็นต้น ประการที่สามพระที่สวดมาลัยสูตรไม่ต้องการให้ประชาชนสังเกตพฤติกรรมพระ หากมีภาพให้เห็นชัดแล้ว รู้อาบัติอันชั่วหยาบ ความโลภโมโทสันต์ และสะเทือนใจที่จะเห็นภาพว่าตัวเองต้องไป สู่จุดนั้น แต่ไม่เลิกพฤติกรรม ประการสุดท้าย การเขียนงานศิลป์จำเป็นต้องยึดถือตามคัมภีร์ พระที่ไม่มีกิเลสเค้าให้จิตรกรเขียนไว้ตามคัมภีร์ศาสนา แต่พระที่มีกิเลสบางส่วนต้องเขียนตามคัมภีร์นี้ไป ต้องวางตามบ้าน จึงตัดปัญหาเผาภาพและเนื้อหาทิ้ง
ฉะนั้นภาพภิกษุสันดานกาเป็นปัญหาอะไร กับใคร ประจานศาสนาตรงไหน

หากพิจารณาภาพภิกษุสันดานกากันจริง แล้ว จะเห็นว่า
1.มีเรื่องของยันต์อยู่ด้วย ในภาพมียันต์อยู่จริง แต่ไม่ตรงกับยันต์ตามตำรา ศิลปินอธิบายว่าตั้งใจจะสื่อให้มาเป็นรูปในเชิงสัญลักษณ์อย่างจิ้งจกหรือตุ๊กแก โดยให้มองเป็นเรื่องที่ขวางกับพระพุทธศาสนา หลักคำสั่งสอน ฉะนั้นเรื่องของยันต์ที่เขียนลงไปก็ไปตรงกับการอุตริที่มีขึ้นในปัจจุบันไหม ในเรื่องของหนังเหนียวนั้นถ้ายันต์เป็นพุทธคุณ โบราณจะสักไว้กลางกระหม่อม แต่ก็มีพระไม่น้อยที่เดียว ณ ปัจจุบันนี้ที่เริ่มตามมาเป็นเรื่องนี้ ตั้งตัวเป็นลัทธิสักยันต์โดยที่ไม่ได้มุ่งว่ายันต์นั้นๆ มีจุดประสงค์อะไร แท้จริงแล้วจุดประสงค์ทำเพื่อเป็นการเอาพุทธคุณไว้ที่เนื้อที่ตัว และเพื่อฝังว่านเหนียวไว้ใต้ผิวหนัง แต่ที่นี่ไม่ใช่ มีจุดประสงค์เพื่อแสดงว่าฉันขลัง อีกประการคือการอุตริคำสอน เริ่มเป็นเทวพุทธนิยมแทนที่จะเป็นพุทธเทวนิยม อันเกิดจากกระแสนิยมการปลุกเสกจตุคามรามเทพ พระสงฆ์ใช้คำว่า “เทวพุทธาภิเษก” เป็นการเอาพุทธประจานเทพ และมีจตุคามด้านหน้า มีพระพุทธด้านหลัง ความจริงแล้วเทพเป็นบริวาร สัททาเทวมนุสานัง แต่เดี๋ยวนี้นำพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปเป็นบริวารเทพ ผิดหมด ถ้าสร้างพระพุทธเจ้าไปเลยก็จบเพราะความขลังอยู่ที่องค์นั้น ๆ

2. การใช้บาตรมาเป็นสื่อ เป็นสื่อของพระที่ทำตัวไม่ดี ซึ่งศิลปินอธิบายว่าเป็นงานสืบเนื่องจากภาพเศษบุญเศษกรรมรางวัลปีที่แล้ว เป็นภาพพระกำลังนั่งล้วงบาตรอยู่ สื่อความหมายถึงพวกนอกศาสนา พวกลักบวชเข้ามาอาศัยเศษบุญของชาวบ้านเพื่อยังประโยชน์แก่ตนเอง ยังชีพตัวเอง ผลประโยชน์นั้นสืบเนื่องไปถึงเศษกรรมที่ตัวเองต้องได้รับมาเป็นผลตรงนี้ แต่ในนี้ไม่เรียกว่าอลัชชี เรียกว่าพวกที่ฝากชีวิตไว้กับพระ หมายถึงพระพุทธศาสนา หมายถึงผลประโยชน์อันเกิดจากพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาอันเกิดจากพระสงฆ์และพระบรมราชูปถัมภ์ แล้วสิ่งที่แย่งในบาปคืออะไร ก็คือผลประโยชน์ที่เกิดจากความศรัทธาของประชาชนที่ดี แต่ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์

ในปัจจุบันก็ยังพบพฤติกรรมการแสวงหาลาภ อเนสนาอยู่ ซึ่งเป็นที่มาของภิกษุสันดานกาด้วย เป็นความบกพร่องอย่างรุนแรงของคณะสงฆ์ บางวัดถึงฆ่ากันตายเพราะเรื่องลาภ เรื่องยศ เรื่องความเป็นเจ้าอาวาส ภาพนี้จึงเป็นการสอนประชาชนให้รู้จักดูภิกษุว่า การแสวงหาอเนสนาคือการเลี้ยงชีพโดยไม่ควรมีอะไรบ้าง มีพฤติกรรมของพระมากมาย แล้วภาพก็เป็นข้อคิดดี ๆ ที่สะท้อนมาในรูปแบบของงานเขียนที่ไม่ใช่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ยังพบได้ในกลุ่มงานจิตรกรรมฝาผนังตามวัดวาอารามที่มีมานานแล้ว มีให้ดู ชี้นำให้รู้ให้เห็น อย่างภายในอุโบสถ์ที่บานประตูทิศตะวันออกของวัดสุทัศน์ฯ ก็ยังมี

คำโบราณยังกล่าวไว้ว่า เป็นคนให้เก่งเท่าพระ ประชาชนควรรู้วินัยปิฎกของสงฆ์ เพื่อมีหน้าที่ตรวจสอบพระ ทำไมจะต้องไม่ให้คนรู้เรื่องพระที่ไม่ดี เป็นอย่างไร เป็นผู้ลืมตัว ลืมภาพวันบวช ชอบคุยอวดรู้ ติดดูหนัง นอนดึกดื่น ตื่นนอนสาย เบื่อหน่ายกิจวัตร ทำตัวขัดระเบียบวินัย ไม่ใส่ใจศึกษา ตั้งวงนินทาพระดี ๆ คลุกคลีพระชั่ว ๆ มั่วสุมเพื่อนฆราวาส ขี้เกียจปัดกวาดอาราม นำความไม่ดีไปพูดนอกวัด ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระครูบาอาจารย์ สร้างความรำคาญแก่ผู้ทรงศีล แอบกินข้าวเย็น แอบเล่นการพนัน พัวพันสุรา ยาเสพติด ไม่ปฏิบัติกิจของพระ บันดาลโทสะเมื่อถูกเตือน แสดงความป่าเถื่อนที่ติดตัวมาคือทำลายพระเก่าที่ดี ถูกคดีอาญา ถูกจับสึก ขาดสำนึกในการเป็นสมณะ ทั้งยี่สิบสี่ข้อที่กล่าวมา ก็รุนแรง แต่ว่าไม่สะเทือนใจ เพราะเราไม่ได้ทำ ทำไมเราไม่แก้ที่ต้นเหตุเพื่อให้ได้พระบวชใหม่ที่ไม่หย่อนยาน ไม่ตกนรก ชาวบ้านศรัทธา ไม่เป็นที่เอื้อมระอาของสมภาร และบิดามารดาได้รับกุศล

เมื่อไรก็ตามประชาชนไม่รู้วินัยปิฎกคือ อาบัติของพระ ประชาชนจะได้พระที่เลว ช่วยพระไม่ได้ ศาสนาจะเศร้าหมองและบุญประชาชนจะไม่ได้ เช่นเดียวกับพ่อแม่ไม่รู้พฤติกรรมลูก ลูกเลวทุกคน ครูบาอาจารย์ไม่รู้พฤติกรรมลูกศิษย์ ลูกศิษย์เลวทุกคน เมื่อไรก็ตามประชาชนอ่อนด้อยในเรื่องความรู้ การเมืองจะโกงกิน

หากให้นำภาพนี้ไปเปรียบเทียบกับเรื่องอื่นที่มีอยู่ในสังคม
- ยังไม่เลวเท่าหนังสือพระเครื่อง หนังสือประวัติอาจารย์ต่าง ๆ ที่เขียนเกินความจริง อุตริทุกองค์ องค์เป็นเจ้าของประวัติไม่ได้เขียน แต่ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายเขียนเกินความจริงพระอรหันต์ทุกองค์ นั่นนะอันตรายต่อพระธรรมวินัยอย่างยิ่ง

- ไม่เลวเท่ากับสร้างหนังที่สื่อถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีพุทธลักษณะเช่นไร ดาราคนนี้มีไหม ไม่มี ไปเทียบกับพระพุทธเจ้าได้อย่างไร จึงไม่แสดงด้วยตัวบุคคล จึงแสดงด้วยจิตรกรรมประติมากรรมเพราะไม่ล้มหายตายจาก มันมีเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกันโดยธรรมชาติของจิตรกรรมประติมากรรมนั้น และไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้วยพฤติกรรม มนุษย์จะมาแสดงด้วยพระอริยสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม ไม่ได้

- ไม่เลวเท่าการ์ตูนที่มีพระพุทธเจ้าหัวโต ปากเบี้ยว ขาแข้งไม่เท่ากัน พระสอนให้พระพุทธเจ้าต้องงาม จิตรกรรมต้องเขียนให้งามแบบพระพุทธปฏิมา ถ้าเด็กเขียนไม่เป็นไร แต่ผู้ใหญ่เขียนแล้วให้เด็กอ่าน ผิด เพราะเด็กต้องอ่านพุทธเจ้าที่งาม ซึ่งไม่ควรให้เด็กสัมผัส ถือว่าเป็นการทำลายภาพลักษณ์พระพุทธเจ้า

- ไม่เลวเท่าสนุกสนานแต่งเนื้อห้ามสวด สวดเล่นประทวนแบบพระราชันเค้าห้าม อย่างเทศน์มหาชาติต้องเอาทำนองหลวง ทำนองราษฎร์ไม่ได้

แต่เนื่องจากภาพเป็นกระจกสะท้อนมาสู่คณะสงฆ์ จึงเป็นเรื่องที่ว่าจะรักหรือป้องกันพระศาสนา หรือจะหาความเป็นวีรบุรุษเพื่อสันดานกาอีกแบบหนึ่ง คือหาลาภทางความนิยมและสมณศักดิ์ เพราะหลายองค์ชอบทำงานแบบนี้เพื่อจะหาลาภจากสันดานกาแบบหนึ่ง ดังนั้นการแสดงออกต้องระวัง เช่นเดียวกับดังคำโบราณท่านว่า ก่อนบิณฑบาตและการทำวัตรเช้า-เย็น ต้องให้พระปลงอาบัติเสียก่อนเพื่อจะได้บุญบริสุทธิ์

ส่วนการวิจารณ์อะไรก็แล้วแต่ ศาสนามีหลักบริหารศาสนาอยู่ คือกำจัดและป้องกัน สร้างสรรค์และรักษา โดยกำจัดสิ่งไม่ดีออกไป ป้องกันคนไม่ดีใหม่ให้เข้ามา สร้างพระดีมีคุณภาพ ขึ้น และทำให้พระดีอยู่ได้ยาว แต่ในการกำจัดและป้องกันต้องบอกว่าอะไรคืออะไร ส่วนการทำงานด้านที่คิดว่ารักศาสนาแบบเชิงลบ จะเป็นภัยศาสนา หมายความว่า อนูปวาโท ชอบด่าชาวบ้าน วิจารณ์ชาวเมือง ทำไมไม่ใช้ “หนึ่งคำเป็นธรรมะชนะตลอด” ภาพเผยแพร่เป็นหนึ่งคำธรรมะชนะตลอด

ภาพนี้มันสะท้อนจิตวิญญาณของคนห่วงพระพุทธศาสนา เพื่อให้สังคมวิจารณ์และประจักษ์ในการตัดสินไปสู่คำเตือนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่อยากได้รางวัลเพราะภาพ แต่ทนเห็นพฤติกรรมของพระเหล่านี้ไม่ได้ ทั้งปลุกเสกเลขยันต์ สร้างไฟมาดักทรัพย์ สร้างของลับมาให้โชค สร้างกะโหลกมาเป็นราหู สร้างไอ้จู๋มาให้ค้าขายดี สร้างโยนีเอามาพุทธาภิเษก บางทีลึก ๆ ทนไม่ได้ ทั้งหมดที่พูดมาอยู่ในภาพนี้ด้วย

ความจริงควรจะติดภาพนี้ไว้ตามวัด ตามตลาดสด ทำไมไม่ให้ฉันบอกแก่บริวาร พวกเขาจะได้ดูว่าพระอย่างนี้มีไหม จะได้มีโอกาสสร้างงานพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์ได้ สร้างความเข้าใจ รวมทั้งสร้างวิกฤตให้เป็นโอกาส ให้มองว่า กว่าพุทธศาสนาจะมีวันนี้ผ่านความยากลำบากมาตั้งแต่ครั้งแรก พระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ทั้งคัมภีร์บางเรื่องที่อยู่ในลังกา อินเดีย ภาพจิตรกรรมประติมากรรม ภาษาเกี่ยวกับพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎกมาประดิษฐ์เป็นคำภาษาพระ จึงเห็นใจกับบรรพชนกับความศรัทธาพุทธศาสนา แต่ปัจจุบันสถานการณ์เป็นอย่างนี้ พุทธศาสนิกชนจึงต้องมีความฉลาด

สำหรับเรื่องรางวัลไม่มีสิทธิ์ไปลดรางวัลได้เพราะเป็นงานศิลปะ รางวัลเป็นสมบัติของชาติ ไม่คิดว่าการถอดถอนรางวัลแล้วศิลปินจะหมดวิทยายุทธ์และความเป็นศิลปินเหรอ หากศิลปินไปวาดภาพอื่นที่สะท้อนอุปนิสัยพระเลวกว่านี้แล้วเป็นเรื่องจริง โดยไม่มีการตัดสินให้รางวัลอีกก็ตาม อยากให้คนที่ศรัทธากลายมาเป็นปฏิปักษ์ต่อพระในโอกาสต่อไป อย่าทำอย่างนั้น องค์กรพุทธจะเป็นองค์กรใดก็ตามอย่าทำ การจะให้จัดงานแถลงข่าวลอยทะเลเผาทำลายภาพนี้ด้วยมือศิลปินเสียเองก็ยังไม่สามารถทำได้ เพราะเท่ากับเผาทำลายผ้าเหลือง ก็ยิ่งมีปัญหาใหญ่

ดูก่อนเถิดว่า สิ่ง ๆ นี้ไม่ใช่จดหมายเหตุภิกษุสันดานกาเหรอ การกำจัดอลัชชีในศาสนาตามปฏิปทาของพระมหากษัตริย์เหรอ

หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม
จากรายการ สภาท่าพระอาทิตย์ สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี
ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2550


นึกเป็นห่วงพระที่พม่า ที่ต้องมาเดินขบวนประท้วงเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยของแผ่นดิน แต่พระที่ประเทศไทยเดินขบวนประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิของตัวเอง เป็นการปกป้องตัวเอง อย่างในกรณีของภาพวาดภิกษุสันดานกา ที่ได้รับรางวัลเหรียญทองจากงานศิลปกรรมแห่งชาติครั้งนี้ พระไทยออกมาประท้วงเพื่อปกป้องขี้ของตัวเอง ในขณะที่พระที่พม่าออกมาประท้วง เดินขบวนเพื่อเรียกร้องเพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน แต่ในประเทศไทย พระสงฆ์โดนจับในฐานะของคนขายยาบ้า แล้วภาพที่เขียนออกมานั้นเขียนเพื่อถ่ายทอดพุทธพจน์

สำหรับผู้ออกมาเคลื่อนไหว อยากทราบว่าจะเคลื่อนไหวไปเพื่ออะไร เพราะภาพนี้มีที่มาจากพระไตรปิฎก ตามที่ผู้เขียนคือ คุณอนุพงษ์ ได้แจ้งไว้ว่าได้แนวความคิดจากพระไตรปิฏก ซึ่งตามพระไตรปิฏกได้เขียนไว้ชัด ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายไว้ว่า กานี้มีความประกอบที่มีธรรมอันเลวทรามอยู่ 10 ประการ ได้แก่ กาเป็นสัตว์ทำลายความดี สัตว์คะนอง ทะเยอทะยาน กินจุ หยาบคาย ไม่มีความกรุณา ไม่มีสติ สะสมของกิน ทั้งหมดนี้ให้นำมาเทียบดูว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่มีสันดานเหมือนกา มีอธรรมไม่ต่างจากกาทั้ง 10 ประการ ภาพนี้ก็เป็นการแสดงพระพุทธพจน์ไว้ชัดเจน

ที่มาของภาพนี้ คือ การยกเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เห็นเป็นรูปธรรม พยายามเอา 10 อย่างที่พระพุทธเจ้าได้สอนภิกษุ สื่อรวมให้เห็นภาพอย่างชัดเจนนั้นเอง จึงไม่เห็นด้วยที่พระจะออกมาเดินขบวน เพื่อจะปกป้องขี้ของตัวเอง หน้าที่ของพระ คือ ต้องหาวิธีปกป้องขี้ของตนเอง ภาพที่ออกมาว่าภิกษุขายยาบ้า เสพเมถุน ทำผิดนั้นคือ ขี้ของตัวเอง ที่จริงต้องขอบคุณ คุณอนุพงษ์ จันทร ที่กำลังชี้ขุมทรัพย์ทำให้เราได้รู้ว่าสังคมกำลังมองเรายังไง มองพระสงฆ์อย่างไร สะท้อนความเป็นจริงในปัจจุบัน ซึ่งอยากให้พระสงฆ์ทั้งหลายนั้นกลับมาย้อนมองดูตัวเอง อย่าไปเดินขบวนเพื่อปกป้องขี้ตัวเองเลย

และที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่มหาเถร จะให้ทางมหาเถรทำหนังสือเพื่อคัดค้านรางวัลที่ให้แก่คุณอนุพงษ์ ซึ่งถ้ามหาเถรทำ ถือได้ว่ามหาเถรไม่เห็นด้วยกับพุทธพจน์ จากภาพเค้าพูดถึงพุทธพจน์ แล้วอยากรบกวนว่ามันจะเสียหายอะไรที่พูดความจริง และความจริงนั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้พูดไว้ด้วย ไม่ใช่ความจริงที่คนธรรมดาเอามาพูด ซึ่งถ้าพวกท่านที่ประท้วงภาพนี้ ไม่เห็นด้วยกับภาพนี้ ท่านก็ต้องมาอ้างให้ชัด ให้เหตุผลให้มากว่าทำไมต้องคัดค้าน จะมาอ้างว่ามาดูหมิ่นศักดิ์ศรีพระ ก็ถือว่าพระพุทธเจ้าก็ดูหมิ่นพระเช่นกัน เพราะนั้นเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ชี้ให้ภิกษุได้เห็นว่า ภิกษุไม่ควรทำตัวเลวเหมือนกา ไม่ประพฤติตนเยี่ยงกา เป็นการเขียนภาพเพื่อสื่อถึงคำสอน ซึ่งมองแล้วภาพก็ไม่ได้สื่อผิดไปจากคำสอนเลย ไม่เห็นว่าจะมาดูหมิ่นพระสงฆ์ตรงไหน เหมือนเป็นการสื่อด้วยซ้ำว่า พฤติกรรมแบบนี้ไม่ดีนะ ไม่ควรทำ ถามว่านี้คือ คำด่า หรือคำชี้แนะ

ในส่วนที่กลุ่มผู้ประท้วงบอกอีกว่า ภาพเขียนนี้นำจีวรพระมาเขียนเป็นพื้น ซึ่งอ้างว่าทำไม่ได้เพราะจีวรพระเป็นศาสนวัตถุที่สำคัญ แล้วท่าน ๆ ทั้งหลายเคยเข้าไปวัดกันบ้างหรือไม่ ว่าได้ใช้จีวรพระเหมาะสมเพียงใด เห็นเอามาใช้เป็นผ้าเช็ดเท้า นำมาถูพื้นวัด ก็ใช้สีเหลืองกันทั้งนั้น อะไรคือสัจธรรม จริง ๆ ควรจะไปด่าพวกที่นุ่งเหลืองห่มเหลือง ที่เสพเมถุน ค้ายาบ้า ไม่ใช้มาด่าคนเขียนภาพ อยากให้ย้อนดูตัวเองด้วยว่าที่ตัวท่านทั้งหลายทำนั้นดีแล้วหรือยัง ไม่ใช่แค่อยากจะปกป้องพระพุทธศาสนา เห็นว่าเป็นเรื่องที่วิเศษ แต่ลืมไปว่าพฤติกรรมตัวเองนั้นแหละที่ทำลายพุทธศาสนาอยู่ ในขณะเดียวกัน ถ้าจะมาวิเคราะห์ความอสัจธรรมของกาในหมู่ภิกษุที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้น ก็ตรงกับพุทธพจน์เลย คือ ทำลายความดี ภาพนั้นคือความดีที่กำลังจะสอนเตือนให้พวกเรารู้สำนึก รู้ผิดชอบชั่วดี คืออะไร การคะนองกาย คะนองวาจา แม้กระทั่งการแสดงออกในความหมายนี้ ถ้าต้องการทะเยอทะยานขึ้นเพื่อให้ความดีเพิ่มก็ไม่เป็นไร เค้าเรียกว่าความเพียร แต่ถ้าเป็นสัตว์ที่กินจุ คือไม่รู้จักพอ กาไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ กินแล้วก็ถ่ายอยู่ตลอดเวลา หยาบคาย ไม่มีความกรุณาปราณี และเป็นสัตว์ทุลพล ก็คือ ไม่มีศรัทธา ไม่มีวิริยะ ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา แล้วยังส่งเสียงอื้ออึง ชอบรวมเป็นกลุ่มแล้วก็แย้วๆ กันไป พวกมากลากไป ปล่อยสติถ้ามีก็หาวิธีกำจัด ถ้าท่านมหาเถรจะทำตามคำเรียกร้องของท่านผู้ประท้วง เห็นว่าจะเสียภูมิ

ภาพนี้สะท้อนให้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง ซึ่งเราเป็นพระสงฆ์เอง เห็นภาพนี้แล้วจะไม่โวยวายใด ๆ แต่จะบอกตัวเองว่า เรากำลังจะเป็นแบบนี้หรือไม่ ดูตัวเองก่อน พระองค์ได้สอนไว้ว่า ถ้ามีคนมาว่า หรือตำหนิเรา ไม่ควรจะไปตำหนิตอบ ให้มองตัวเอง ว่าสิ่งที่เขาว่านั้นเป็นจริงหรือไม่ ถ้าไม่เป็นจริง ก็คือสิ่งที่เค้าพูดนั้นเป็นเท็จ แค่นั้นก็จบ ยิ่งเห็นภาพที่พระไปนอนข้างถนน ประท้วงเรียกร้อง ถามว่า นั้นใช่ความคะนองหรือไม่ ไปนอนข้างถนนให้นักข่าวยืนรอบ ๆ ตัว ดูแล้วตกต่ำยิ่งกว่าที่นำผ้าเหลืองไปเขียนออกมาเป็นภาพซะอีก ถ้าจะทำกิริยาแบบนั้น ควรที่จะต้องถอดจีวรออกก่อน สิ่งที่ตัวเองทำนั้น คืออะไร เป็นลักษณะของพวกไม่มีศีล เท่าที่ทราบมาว่าเครือข่ายที่มาประท้วงเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งนั้น นักศึกษาที่มีแต่ความรู้แต่ไม่เอาไปปฏิบัติ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอุปมา 10 ข้อที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าอย่างไรบ้าง

การสอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ตอนนี้เหมือนการปลูกฝังหน่อเนื้อเชื้อการเมือง ไม่ได้มีจุดยืนทางอุดมการณ์ที่จะปล่อยวางสงบเย็น มีแต่จะปลูกฝัง สอนในทางต่อต้าน ต่อสู้ เรียกร้อง สร้างปฏิกิริยา ต้องทำการทบทวนบทบาท อุดมการณ์ และนโยบายของมหาวิทยาลัยสงฆ์กันใหม่แล้วว่าตัวเองต้องการจะเผยแพร่ความรู้ความเข้าในในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ฐานทางการเมือง ความเห็นตรง เข้าใจชัด ไม่ใช่การเป็นนักสู้มาเรียกร้องศักดิ์และสิทธิ์ ภิกษุดี ๆ พระพุทธเจ้าสอนว่าต้องให้ปล่อยวาง ตอนนี้เหมือนสอนกันผิดนโยบายหมดแล้ว อยากให้เปลี่ยนแนวความคิดใหม่ คิดให้กว้าง ๆ โดยฐานความคิดทางคุณธรรม เกี่ยวกับสามัญสำนึก การประพฤติปฏิบัติ เช่น ในเรื่องวินัยของสงฆ์ว่าควรดำรงชีวิตอยู่อย่างไรจึงจะต่างจากกา

อยากจะแนะนำท่านมหาโชว์ กับพวกที่ประท้วงที่ห้ามไม่ให้ได้รับรางวัลว่า มันเกินไป ซึ่งในตัวเองแล้วไม่รู้จักกับผู้เขียนโดยตรง แต่ทราบว่าภาพนี้สื่อให้เห็นถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า อยากให้ลองไปเปิดพระวิสุตไตรปิฏก ที่ 1 ทีคนิกายสิรขัน ดูบ้าง ลองดูตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พิมพ์กันมาหลายรุ่น ซึ่งถ้าพระไตรปิฏกได้ถูกเปิดอ่านหน้าต่อหน้า ที่มานอนข้างถนนแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่ ๆ อย่างพวกนี้คือ พวกที่ไม่รู้ ไม่เห็น แล้วอย่าเพียงแค่ปกป้องขี้ตัวเอง เจตนาผู้เขียนอาจจะอยากสะท้อนความจริงของสังคมสงฆ์ ให้ผู้นักถือศาสนาได้รับรู้ แล้วเชื่อว่าผู้เขียนต้องรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าข้อนี้แน่ ๆ ไม่งั้นคงเอามาเขียนเป็นภาพไม่ได้ตรงขนาดนี้ และชัดเจนมาก ๆ อยากจะสนับสนุนให้เขียนภาพต่อไป จำพวกเปรต พระอสูรกายที่มาบวชต้องอาบัติ และตกโทษอะไรบ้าง

สิ่งที่ประท้วง และมีพระมานอนข้างถนนในครั้งนี้ ไม่ใช่การปกป้องพระพุทธศานาแต่เป็นการทำลาย ทำลายศรัทธา การจะปกป้องพุทธศาสนาที่แท้จริงต้องเรียนรู้ปฏิบัติธรรมอย่างชัดแจ้ง นำผลที่ได้ไปเผยแพร่ ถ้าเห็นคนไม่ดีต้องช่วยกันกำจัดออกจากหมู่ แต่เวลานี้มาปกป้องกันเอง จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าไม่ได้เปรียบภิกษุเป็นแค่กาอย่างเดียว ยังได้เปรียบกับสารพัดสัตว์ เพื่อเตือนให้พระได้รู้สึกว่าตัวเองควรประพฤติตนอยู่อย่างไร ภิกษุต้องพิจารณาอยู่เนือง ๆ ว่าตัวเองมีศีลอันบริสุทธ์ ต้องยินดีในธรรมที่ปฏิบัติ ต้องทำให้สูงขึ้น โตขึ้น แต่ ณ วันนี้เราไม่มีเรื่องพวกนี้

ทั้งหมดที่คุณอนุพงษ์ได้สื่อนั้น ทั้งหมดอยู่ในพระไตรปิฏก ได้อ่านกันบ้างหรือไม่ อ่านแล้วเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ถ้าเข้าใจแล้วต้องการจะปกป้องพระพุทธศาสนา จะต้องเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า กลับมาสำรวจตัวเอง ว่าเราเป็นจริงหรือไม่ ถ้าจริงก็แก้ไข ไม่ใช่ไปค้านไม่ให้เค้าได้รับรางวัล ในขณะเดียวกันถ้ามีจริงแต่ไม่ยอมรับ นั้นคือสิ่งที่น่าละอาย

ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ราชบัณฑิต สาขาศาสนศาสตร์ ประจำราชบัณฑิต


ก่อนอื่นต้องมองว่าศิลปินเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าพอเห็นภาพแล้วสรุปเลยว่าภาพนั้นทำลายศาสนา เราต้องดูที่เจตนาจริง ๆ ว่าศิลปินคิดอย่างไร ศิลปินต้องการสื่ออะไร มีแนวคิดมาจากไหน เท่าที่ทราบมานั้น ศิลปินนำมาจากหนังสือ “ตำราดูพระภิกษุ” เป็นหนังสือที่คัดมาจากคำแปลหนังสือของท่านพุทธทาส จริง ๆ แล้วบางท่านพยายามพูดไปว่าไม่มีในพระไตรปิฎก แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้มีในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสไว้มากมายกว่านั้นเยอะ ไม่ใช่เฉพาะ “ภิกษุสันดานกา” แต่มีทั้งภิกษุขี้เรื้อน ภิกษุหมดหวัง ภิกษุผีดิบ ภิกษุอุจจาระ สารพัดอย่าง พระพุทธเจ้าตรัสเตือนให้สติภิกษุทั้งหลายว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งไม่ดี มิได้หมายความว่าพระทั้งหมดเป็นแบบนี้ “ภิกษุสันดานกา” พระพุทธเจ้าตรัสว่า กาเป็นสัตว์ที่มีความไม่ดีหลายประการ ผมจำไม่ได้หมด เช่น กาเป็นสัตว์ละโมภ กาเป็นสัตว์ขี้ขโมย กาเป็นสัตว์ขยันหากินในทางทุจริต กาเป็นสัตว์เสียงดัง เหล่านี้เป็นต้น

แต่กระนั้นก็ตาม ในภาษิตได้กล่าวไว้ว่า “อย่าเอาอย่างกา จงเอาเยี่ยงกา” แม้กาจะเป็นสัตว์ที่มีความผิดสารพัด แต่กาก็มีความดี เช่น ความขยัน ถ้าเรานำความขยันไปใช้ในเชิงสร้างสรรค์ ถือเป็นเรื่องดี ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า “อย่าเอาอย่างกา จงเอาเยี่ยงกา” แต่มีภิกษุบางรูป บางกลุ่มเท่านั้น ไม่ได้หมายความรวมถึงพระทั้งหมด เหตุการณ์ที่นำเอาพุทธวัจนะของพระพุทธเจ้ามาจำลองออกมาเป็นภาพ คงมีจุดประสงค์เดียวกัน เราต้องยอมรับว่าสังคมสงฆ์มีสภาพอย่างนี้ ประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ รอผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เช่น คณะสงฆ์ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง จริง ๆ แล้วจะปฏิเสธไม่ได้ว่าศาสนาอยู่ในความดูแลของพุทธบริษัท 4 (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา) เป็นผู้ที่มีส่วนในการผลักดันศาสนาให้ดีหรือไม่ดี

ฉะนั้น ทั้งสองฝ่ายต้องยอมรับว่าปัญหาอย่างนี้เกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่พิจารณาหาทางแก้ไข ผมเห็นว่าทำเป็นทองไม่รู้ร้อนตลอดเวลาทั้งสองฝ่าย ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป คนที่ได้กระทำผิด เมื่อเห็นว่าคนในสังคมไม่สนใจ ก็หันกลับมาทำผิดอีก เหมือนพระที่ทำผิดวินัย เมื่อถูกจับสึกแล้ว ไม่มีมาตรการกวดขัน กลับมาบวชใหม่อีกครั้ง ทำตัวหลอกลวงชาวบ้านเหมือนเดิม ดังนั้น ถ้าพูดถึงเจตนาในการกระทำ ผมไม่ได้เข้าข้างศิลปิน ผมเข้าใจว่าเจตนาที่ศิลปินคิดนั้น เพราะว่าปัจจุบันสภาพสังคมมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริงโดยเฉพาะสังคมสงฆ์ สมควรที่ผู้เกี่ยวข้องควรหันมาคิดพิจารณาหาทางแก้ไข การที่มีกลุ่มพระก็ดี กลุ่มฆราวาสก็ดีที่ออกมาประท้วง น่าจะดีเหมือนกัน เพราะจะทำให้คณะสงฆ์ได้หันมาพิจารณา ในส่วนของรัฐบาลเองก็เช่นกัน แต่ผมขอท้วงติงตรงที่ เรื่องศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าชาวพุทธเข้าใจ ก็ไม่มีปัญหา แต่เดี๋ยวนี้ผู้คนห่างวัดกันมากขึ้นทุกที มีความเข้าใจศาสนากันน้อย ฉะนั้น วิธีการนำเสนอ ผมคิดว่าน่าจะพิจารณาหาแนวทางใหม่ เจตนาที่บริสุทธิ์ของศิลปินอย่างเดียวคงไม่พอ ผมเองไม่อยากคิดว่าการที่มีเจตนาบริสุทธิ์จะถูกแปลความหมายไปในทางลบว่าเป็นผู้ทำลายศาสนา ศาสนาแทนที่จะบอกว่าศิลปินเป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุนศาสนา เพราะเผยแพร่ออกมาเป็นรูปธรรมให้เห็นอย่างเด่นชัด มาถึงตอนนี้คงต้องใช้ความฉลาดศิลปิน ต้องมองอีกขั้นหนึ่งว่าตัวศิลปินมีเจตนาดี สร้างสรรค์ผลงานออกมาแบบนี้ แล้วทำไมสังคมยังคัดค้าน นั่นแสดงว่าเจตนาดีของศิลปินยังไม่เพียงพอ จึงควรจะต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้ลึกซึ้งไปอีกขั้นตอนหนึ่งว่า เราต้องนำเสนอออกไปในรูปแบบไหน สังคมส่วนใหญ่จึงจะยอมรับ ศิลปินคงจะมองออกว่าจะนำเสนออย่างไร ให้เกิดประโยชน์ทั้งแก่สังคมสงฆ์ สังคมชาวบ้าน และศาสนา ศิลปินก็อาจจะเขียนภาพเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระ ในแง่เชิงวิเคราะห์ซึ่งสังคมทั่วไปมองว่าเป็นการสร้างสรรค์ผู้คนมักไม่สนใจศึกษาศิลปะ ไม่เห็นความสำคัญของศิลปะ เพราะฉะนั้นบางครั้งศิลปินคิดว่าสิ่งที่ตนเองนำเสนอนั้นดีแล้ว สังคมก็น่าจะยอมรับโดยทันที แต่ในความเป็นจริงแล้ว หาเป็นอย่างนั้นไม่ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีศิลปะวิจักษณ์ ไม่ได้มีการศึกษาเรื่องของศิลปะอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของศิลปินเหมือนกันที่ควรตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ โดยส่วนตัวของผม ผมถือว่าถ้ามองในแง่ดี ยิ่งกลับเป็นเรื่องที่ช่วยกระตุ้นให้สังคม โดยเฉพาะสังคมสงฆ์ได้ตระหนักถึงปัญหา อาจจะมีปัญหาอื่น ๆ อีก เช่น ปัญหาพระหลอกลวงชาวบ้าน หรือปัญหาในรูปแบบอื่น ๆ สังคมสงฆ์ไม่ควรดูดาย แต่ควรพิจารณาหาทางแก้ไข รวมทั้งรัฐบาล ศาสนา บ้านเมือง สมควรที่จะต้องร่วมมือร่วมใจกันในทุก ๆ ฝ่าย อย่าลืมว่าศาสนาเป็นของพวกเรา ไม่ใช่เป็นของสงฆ์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าพุทธศาสนาจะเสื่อมหรือจะเจริญ ขึ้นอยู่กับพุทธบริษัท เราไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาทำลาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับชาวพุทธนั่นเอง ชาวพุทธแตกแยกกัน ไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นชาวพุทธ แต่เวลาตำหนิสงฆ์ก็บอกว่าตนเองเป็นชาวพุทธ ดูอย่างนักการเมืองที่โจมตีพระที่ออกมาเดินขบวนที่รัฐสภา จริง ๆ แล้วพระท่านไม่ได้มีอาวุธอะไรเลย มาเงียบ ๆ มานั่งสมาธิ มาแผ่เมตตา อย่างนี้กลับหาว่าไม่เหมาะสม การที่พระทำพิธีคว่ำบาตรนั้น เป็นวิธีการที่นิ่มนวลที่สุด แต่มีสาระตรงที่ต้องการเรียกร้องเท่านั้นเอง ถ้าเป็นชาวพุทธจริง ๆ เมื่อเห็นพระทำพิธีคว่ำบาตรนั้น ก็น่าจะออกมาขอมาท่านแล้ว แต่นี่เป็นเพราะความไม่รู้

ส่วนตัวของผมแล้ว ผมคิดว่าผมมองในแง่ดี สังคมจะได้
ตื่น เพราะศิลปินท่านนี้ ส่วนเรื่องเจตนาของศิลปินนั้น ผมไม่สงสัย ศิลปินมีเจตนาบริสุทธิ์ แต่ขอท้วงติงในเรื่องวิธีการนำเสนอ ถ้าเจตนาบริสุทธิ์ วิธีการนำเสนอดี สังคมส่วนใหญ่ยอมรับได้ เห็นในเจตนาดี สิ่งเหล่านั้นก็จะเกิดประโยชน์ แต่ถ้าสังคมส่วนใหญ่รับไม่ได้ เราจะไปกล่าวโทษสังคมก็ไม่ได้ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษาด้านศิลปะ แม้ว่าจะได้รับรางวัล แต่ก็เป็นรางวัลของผู้ที่อยู่ในแวดวงศิลปะ ส่วนคนในสังคมไม่รับรู้ ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นภารกิจของสังคมที่จะต้องให้การศึกษาศิลปะ ให้ผู้คนเกิดความเข้าใจในศิลปะ ศิลปะเป็นสิ่งดีงาม ทำให้จิตใจละเอียดอ่อน

อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ศิลปินแห่งชาติและกวีซีไรต์คนแรกของไทย

กรณีของ “ภาพภิกษุสันดานกา” ที่ปรากฏต่อสายตาประชาชนในขณะนี้ ถือเป็นการชี้ขุมทรัพย์ให้กับวงการสงฆ์ในปัจจุบัน ถ้าถามว่าภาพที่เขียนนี้และเนื้อหานี้มันมีอยู่จริงไหม หนึ่งภิกษุสันดานกาเป็นหนึ่งในคำสอนที่มีอยู่จริงในพระสูตร ในพระไตรปิฎก ที่พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นว่าพระภิกษุควรหรือไม่ควรประพฤติตนอะไรบ้าง ซึ่งมีหลากหลายมากมาย และยังมีมากกว่านี้อีก เช่น ภิกษุผู้ถูกแมลงวันตอม จีวรที่ลุกเป็นไฟ ฯลฯ สามารถเขียนได้มาก สองมีอยู่จริงในกรอบของสังคมบ้านเรา ภิกษุที่ทำตัวประพฤติอย่างนี้มีอยู่มาก แต่ว่าเราไม่กล้าพูด ไม่กล้าที่จะชี้ให้เห็น เหมือนความจริงหลาย ๆ เรื่องที่เรามองข้าม อย่างตามแผงพระมีปลักขิกวางอยู่บนเศียรพระพุทธรูป ทำไมเราเฉยกันอยู่ ภิกษุที่ทำไม่ถูกสมณะสารูปเหล่านี้เราก็เห็นว่ายังมีอยู่และมีมากที่เป็นข่าวจับสึก

เพราะฉะนั้น ศิลปินจึงมีหน้าที่ที่ต้องชี้ขุมทรัพย์อีกมากในการเขียนเป็นรูปภาพ เนื่องจากศิลปินมีอิสระที่จะแสดงความรู้สึก มีสิทธิที่จะแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดต่อความไม่ดีงามได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือศิลปินมีหน้าที่ดูแลอารมณ์และความถูกต้องของสังคมไปด้วย แต่ขณะเดียวกันการแสดงภาพดังกล่าวต้องแสดงควบคู่ไปพร้อมกับภาพที่ดี มีจิตใจงดงามด้วย เช่นพระพุทธรูป พระสงฆ์เดินแถวบิณฑบาต หรือภาพที่ดีซึ่งติดหูติดตา ซึ่งในสังคมไทยเราเองยังไม่เคยชินกับภาพดังกล่าว เราเลยหวาดกลัว เป็นการชี้ให้เห็นมุมมองทั้งสองด้าน ด้านบวกคือด้านที่ถูกต้อง ด้านลบคือด้านที่ไม่ถูกต้อง

ในขณะเดียวกันกระแสเสียงที่แสดงความรู้สึกไม่พอใจและไม่ยอมรับนั้น ก็มีสิทธิที่จะแสดงความไม่พอใจออกมา ส่วนมหาวิทยาลัยเองต้องมีหน้าที่ชี้แจงให้เห็นว่า สิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่เราทำได้ ไม่ใช่สิ่งที่เราละเมิดอะไร เราทำความจริงให้ปรากฏ ไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่จริงแล้วทำขึ้นมา แต่หากได้คิดกันสักนิดถึงเรื่องนี้ก็จะไม่มีปัญหา เพราะด้านพระพุทธศาสนาเราเชิดชูในด้านที่ถูกต้อง เหลืองอร่ามรุ่งโรจน์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราไม่เคยเปิดดูในด้านที่มืดดำเหล่านี้เลย ขัดกับสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านทรงชี้อยู่ตลอดเวลา แต่เรามองไม่เห็นนั่นเอง อันนี้ถือว่าเป็นขุมทรัพย์แห่งปัญญาที่ผู้มีปัญญาควรใช้ให้เป็นประโยชน์ แล้วจะมองเห็นว่าลึก ๆ แล้ว สิ่งนั้นมีอยู่จริงและมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน เพื่อเป็นแนวทางป้องกันไม่ให้ภิกษุเหล่านี้เกิดขึ้น แต่ถ้าเรามีตาหรือหลับตาเหมือนทำเป็นมองไม่เห็น ภิกษุสันดานกาก็จะได้ใจมากขึ้น และจะไม่ก่อให้เกิดผลแห่งปัญญาอีกด้านหนึ่งที่สังคมมองข้ามไป

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ยงยุทธ วัชรดุลย์
นายกสมาคมความนั่นคงพุทธศาสนา


ภาพนี้มีความน่าสนใจ เมื่อได้อ่านแนวความคิดของศิลปิน ผมคิดว่าเป็นการแสดงออกถึงความคิดบางอย่าง โดยเฉพาะศิลปินที่เป็นพุทธโดยตรงว่ามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับศาสนา เพราะฉะนั้นจะเป็นประเด็นที่มีส่วนทำให้พระพุทธศาสนามั่นคง ผู้มองภาพนี้จะเห็นว่าเป็นภิกษุที่มีสันดานเป็นอีกาเป็นมารศาสนาเป็นการแสดงออกเชิงความคิดสร้างสรรค์ เพราะลักษณะภิกษุที่มีสันดานเป็นกานั้น เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ในขณะเดียวกันภิกษุที่ดีก็มีอยู่เป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่ไม่ดีนั้นมีอยู่น้อย

สำหรับเรื่องที่ศิลปินนำจีวรมาใช้ในภาพนั้น ผ้าจีวรบางคนบอกว่าเป็นของสูง ความเป็นจริงแล้วดั้งเดิมเป็นผ้าบังสุกุล ได้มาจากผ้าห่อศพ ในสมัยพุทธกาลมีการดึงผ้าที่ห่อศพมาเย็บต่อกันแล้วมาย้อมสี เพื่อชำระล้างคราบสกปรกต่าง ๆ จึงกลายมาเป็นผ้าจีวรในสมัยนั้น แต่ถ้าเมื่อใดที่ผ้าจีวรนั้น พระสงฆ์ไม้ใช้แล้วก็จะไม่เป็นจีวรต่อไป

ส่วนในภาพที่พระมีปากเป็นอีกา เป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่สงฆ์ทั่ว ๆ ไป แต่เป็นสัญลักษณ์ของพระสงฆ์บางรูปบางกลุ่ม กล่าวคือจะเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า พระที่ไม่ดีก็จะมีลักษณะดังภาพ เป็นภาพเชิงความคิดเห็น ไม่น่าจะเป็นเรื่องลบหลู่ศาสนา แต่เป็นการแสดงออกทางศิลปะที่เตือนพระสงฆ์ว่านิสัยหรือพฤติกรรมเช่นในภาพนั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ น่าจะเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ

การที่มีผู้ประท้วงเป็นสิทธิส่วนบุคคล ถ้ามองเห็นว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์เป็นการลบหลู่ ในกรณีนี้ไม่เหมือนกับที่นำเศียรพระมาทำเป็นที่แขวนกุญแจ อีกประการหนึ่ง ศิลปินผู้นี้เป็นชาวพุทธ ได้สร้างสรรค์ภาพออกมาเพื่อสะท้อนให้สังคมเห็น ศิลปินคิดเห็นอย่างไร ย่อมแสดงออกมาได้ลองหันมานึกถึงตอนที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวเกี่ยวกับพระที่ทำตัวไม่ดีก็น่าที่จะมีผู้คัดค้าน ว่านำเอาข่าวที่พระสงฆ์มีพฤติกรรมที่ไม่สมควรมาลงข่าวแต่ในกรณีดังกล่าวมีประจักษ์พยาน สื่อจึงนำมาเสนอข่าว ซึ่งในความเป็นจริงสื่อก็จะเสนอข่าวที่ตรงไปตรงมาจึงไม่มีผู้คัดค้าน

ผู้ที่มีความเห็นเป็นกลาง เห็นว่าเป็นแนวคิดใหม่ของศิลปิน ที่สะท้อนให้เห็นว่าพระสงฆ์ที่ทำตัวไม่เหมาะสม เลยนำเสนอในรูปแบบของงานศิลปะ เป็นจิตสำนึกของศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นมา

รองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม
ผู้ทรงคุณวุฒิและนักวิชาการด้านมานุษยวิทยา

ผมคิดว่าสังคมไทยขณะนี้เกิดวิกฤตทางศีลธรรมมาก แล้วผู้ที่เป็นหลักทางศีลธรรมไม่ได้ประพฤติในสิ่งที่ถูกที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์ มักมีข่าวในทางไม่ดีให้ได้เห็นได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม พูดกันง่าย ๆ ว่า มีหมู่โจรในคราบผ้าเหลือง เมื่อสภาพสังคมเป็นเช่นนี้ ศิลปินจึงมีความคิดที่จะสะท้อนภาพในลักษณะดังกล่าวนั้นออกมาให้คนเห็น เป็นรูปธรรม แต่ไม่ได้ด่าพระสงฆ์ เพราะสิ่งเหล่านั้นมีอยู่ในอดีตมาก่อนแล้ว อย่างไรก็ตามวิกฤตการณ์ทางศีลธรรม ที่มีผู้ฉกฉวยผ้าเหลืองออกมาหาผลประโยชน์ ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา ที่ศิลปินต้องแสดงออกมาเป็นภาพอย่างนั้น เพราะบ้านเมืองกำลังวิกฤต คนในสังคมจะสะท้อนสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นออกมาให้เห็นโดยผ่านศิลปะ กล่าวคือศิลปินเป็นกลุ่มหนึ่งในสังคมที่จะต้องสื่อหรือสะท้อนความเดือนร้อนทางสังคมออกมาให้สาธารณชนได้รับทราบ ศิลปินต้องมีส่วนร่วมต่อบ้านเมือง มหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิปัญญาความรู้ มีจุดยืนเป็นของตนเอง ไม่ได้ตื่นตามกระแสที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้

ภาพภิกษุสันดานกา ภาพนี้ ผมคิดว่ามีแนวความคิดที่จะแสดงความไม่เห็นด้วย ภาพจะสื่อความหายรุนแรงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือรูปแบบในการแสดงออก สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือสังคมไทย
ที่ในขณะนี้คนกำลังมองปัญหาทางศีลธรรมกันแบบผิด ๆ

แนวทางในการแก้ไขนั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมที่กำลังวิกฤตอยู่ในขณะนี้ มีการแบ่งเป็นหลาย ๆ ฝ่าย สิ่งที่สำคัญคือทุกฝ่ายต้องมีจุดยืนเป็นของตนเองว่าได้กระทำในสิ่งที่ถูกที่ควร ผมคิดว่าสื่อก็ไม่ได้เอนเอียงไปในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

นายสุรักษ์ ศิวลักษณ์ (ส.ศิวรักษ์ ) นักปราชญ์

ต้องเข้าใจว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่มีแต่ของปลอม อย่างเช่นเวลาที่เราเดินทางโดยเครื่องบิน จะเห็นผู้หญิงยืนยิ้ม พูดจาไพเราะ น่ารักอ่อนหวาน แต่จริง ๆ แล้ว ชีวิตจริงไม่ใช่อย่างนั้น ในสังคมต้องมีทั้งสิ่งดีและไม่ดี การที่ศิลปินสร้างสรรค์ภาพในลักษณะนี้เป็นเพราะต้องการแสดงให้สังคมเห็นในสิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมว่าเป็นอย่างนี้ เท่านั้นเอง แต่มีกลุ่มคนบางกลุ่มเกิดความไม่เข้าใจ ยึดติดคิดเสมอว่าศาสนาพุทธต้องเรียบร้อย แต่ในความเป็นจริงนั้น พระกลับมีพฤติกรรมที่ไม่เรียบร้อย ไม่น่ารัก พระหาเงิน พระมั่วทางโลกีย์ เหล่านี้เป็นอลัชชีทั้งนั้น แต่พอศิลปินท่านนี้สร้างงานศิลปะชิ้นนี้ขึ้นมา กลับตื่นตกใจ ผมไม่เข้าใจว่าศิลปะคิดสิ่งที่ศิลปินถ่ายทอดในสิ่งที่ตัวศิลปินเองได้รู้ ได้สัมผัส ได้เจอมาอาจจะผิดหรือถูก ต้องให้เกียรติศิลปินบ้าง คุณจะใช้ตัวคุณเป็นเกณฑ์ชี้ชัดลงไปเลยว่านี่ผิด นี่ถูกเหล่านี้เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ผลงานนี้ผมเห็นว่าศิลปินต้องการแสดงออกให้เห็นถึงความเป็นจริงในสังคมไทย

การแก้ไข ผมคิดว่าไม่น่าจะประนีประนอม เพราะระหว่างความจริงกับความเท็จ คงใช้วิธีการนี้ไม่ได้ ระหว่างซ้ายกับขวา อาจจะมีทางมาเจอกันตอนกลาง สังคมไทยเต็มไปด้วยความเท็จ กึ่งจริงกึ่งเท็จ
เพราะฉะนั้นต้องสอนให้คนในสังคมยอมรับความจริงให้มากกว่านี้

ความคิดเห็นของผู้เข้าชมการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 53

•อาชีพ : ข้าราชการครูบำนาญ อายุ 62 ปี
ภาพ "ภิกษุสันดานกา" ที่ศิลปินนำมาเสนอต่อสาธารณชนภาพนี้นั้น

1.เป็นการช่วยปกป้องพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่งที่น้อยคนจะกล้าทำ ศิลปินทำงานด้วยความวิริยะ อุตสาหะ ประณีตมาก แสดงถึงจิตใจที่ดื่มด่ำอยู่ในหลักธรรมคำสอน ชื่อภาษาอังกฤษจะให้ความเข้าใจได้ดีว่า “Perceptless” นั้นมีอยู่ในทุกวงการ

2.ส่วนกลุ่มที่คัดค้าน ไม่มีสิทธิ์ในการถอดถอนรางวัล และควรจสำรวจตนเองด้วยว่าเป็นคนที่เข้าถึงหลักธรรม คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงหรือไม่ ไม่ใช่เป็นพุทธศาสนิกชนเพียงเพราะบรรพบุรุษเกิดในเมืองไทย ซึ่งมีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

3.พระสงฆ์โดยทั่ว ๆ ไปจะได้รู้ว่าตนเองต้องอ่าน และทำความเข้าใจในพระวินัยก่อนที่จะให้คนทั่วไปกราบไหว้

4.คงจะช่วยขุดคนดิบ ๆ ขึ้นจากหลุมความหลง งมงายได้บ้าง
ขอบคุณคณะทำงานทุกท่านค่ะ

•อาชีพ : รับราชการ
ภาพนี้สมควรที่จะจัดแสดงต่อไป เพราะเป็นงานศิลปะ เป็นการสะท้อนสังคม น่าจะช่วยให้สังคมที่ดีขึ้น ภาพไม่ได้บ่งบอกว่าภิกษุทั้งหมดมีพฤติกรรมเช่นนี้ ต้องเข้าใจว่าทุกสังคมจะประกอบไปด้วยคนดีและคนเลว

•อาชีพ : รับราชการ อายุ 31 ปี
เป็นภาพวาดที่ดีภาพหนึ่ง “การมองของคนหนึ่งคน” ควรจัดแสดงต่อไป และให้เหตุผลให้ประชาชนเข้าใจ

•อาชีพ : นักวิชาการอิสระ
ภาพนี้สื่อให้เห็นถึงความคิดของศิลปินที่นำเอาแนวความคิดทางพุทธศาสนามาแสดงถึงความรู้สึก และเป็นผลงานที่แหวกแนว ให้มองเห็นด้านมืดของพุทธศาสนา ที่เราไม่รู้ มาแสดงออก อีกอย่างหนึ่งเป็นเทคนิคการแสดงภาพบนจีวร ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ควรแสดงต่อไป และถ้าภาพนี้ไม่มีใครอยากได้ ผมจะเอาไปจัดแสดงเอง

•อาชีพ : พนักงานรัฐวิสาหกิจ อายุ 39 ปี
ภาพสะท้อนความเป็นจริง และให้ศึกษาความเป็นจริงที่ว่าทุกคนล้วนมีกิเลส

•อาชีพ : ค้าขาย อายุ 65 ปี
ภาพนี้ตักเตือนจุดเสื่อมของวงการพระสงฆ์ ให้คณะสงฆ์ เอาใจใส่ต่อวงการคณะสงฆ์

•อาชีพ : แม่บ้าน อายุ 48 ปี
เป็นภาพที่สะท้อนมาจากความเป็นจริง เพระพระภิกษุที่แท้จริงมีทั้งดีและไม่ดี ภาพนี้ไม่ได้บอกว่าพระภิกษุจะเป็นแบบในภาพหมด เราจึงควรยอมรับความจริงของสังคม และภาพก็สวยงามสมควรแสดงและควรแก่การได้รับรางวัล

•อาชีพ : นักศึกษา อายุ 19 ปี
ภาพนี้สะท้อนสังคมที่ดี จะทำให้เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่หลายฝ่าย หันกลับมาคิดเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในประเทศไทย และหลักธรรมของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ซึ่งอาจมีความขัดแย้งกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในความขัดแย้งนั้นจะเป็นตัวช่วยทำให้เกิดการเรียนรู้

•อาชีพ : นักศึกษา อายุ 20 ปี
สะท้อนถึงสังคมได้ดีมาก แต่ควรมองในแง่ศิลปะก็จะได้ความรู้สึกที่ดี
•อาชีพ : ผู้สื่อข่าว อายุ 27 ปี
อยากให้ประชาชนที่ไม่เห็นด้วย หรือเห็นด้วยมีโอกาสดูและพิจารณาด้วยตนเอง

•อาชีพ : ผู้สื่อข่าว อายุ 33 ปี
สะท้อนอีมุมหนึ่งของพระสงหืทย ต้องยอมรับเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นจริง และหาทางป้องกันแก้ไข

•อาชีพ : สถาปนิก อายุ 61 ปี
เป็นโอกาสที่ดดีที่จะได้ชี้นำให้สังคมหันมามองแก่นขงพุทธศาสนา และตามที่มีข่าวว่า หากพระเถระผู้ใหญ่มีมติม่ให้แสดง ก็จะไม่นำไปเผยแพร่นั้น เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการฯ และ มศก. ต้องยืนยัน
คุณภาพและสาระของภาพ ตามเป้าประสงค์ของศิลปิน และควรมีการประชาสัมพันธ์เจตนารมย์ของศิลปิน และหลักการคุณค่าทางศิลปะแก่สังคมอย่างกว้างขวางด้วย

•ข้าราชการบำนาญ อายุ 62 ปี
เป็นการสะท้อนและสะกิดให้สังคม ผู้คนทั้งที่อยู่ในวัดและนอกวัดได้ร่วมกันรู้ปัญหา ความชั่วช้า เลวทรามที่แอบแฝงซ่อนเร้น ทั้งโดยเจตนาแอบแฝงหรือบังเอิญเพื่อที่จะหาทางทุเลา รวมทั้งปัดเป่าให้พระพุทธศาสนาเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง เหมาะควร ศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะที่ทรงคุณค่าควรได้รับการยกย่องชื่นชมจากสังคมและผู้คน

•นักออกแบบ อายุ 39 ปี
เป็นการสะท้อนความคิดที่ดี ดูยังไงก็ไม่เป็นการว่าวงการสงฆ์ เป็นแค่สะท้อนความคิดเกี่ยวกับภิกษุที่ทุศีลเท่านั้น ดังนั้นไม่ใช่เป็นการว่าที่ส่วนรวมแต่เพียงแค่สะท้อนคนไม่ดีที่มาหากินกับผ้าเหลือง แล้วผลที่สุดก็จะได้รับผลกรรมอย่างไร

•อาชีพอิสระ อายุ 41 ปี
ทำให้รู้ว่า มีพระภิกษุที่ประพฤติไม่ดีแอบแฝงอยู่ในผ้าเหลือง มีพระในวัดหลวงตามกรุงเทพฯ ที่มีสีกามาคอยปรนนิบัติ แต่งตัวให้เหมือนภรรยาแต่งตัวให้สามี เป็นพระชั้นผู้ใหญ่ด้วย บางองค์ไปอยู่รอให้คนใส่บาตรตามหน้าตลาดโดยมีรถตุ๊กตุ๊กจอดรอขนอาหารกลับวัดให้ ทำให้รู้สึกว่าภาพ “ภิกษุวันดานกา” ภาพนี้วาดออกมาได้ตรงใจจริง ๆ

•นักศึกษา อายุ 22 ปี
เป็นการแสดงออกทางความคิดเห็นในสังคมอย่างหนึ่งซึ่งสะท้อนถึงความเป็นจริง แล้วประเทศของเราปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย ผู้แสดงผลงานมีเสรีที่จะแสดงภาพเต็มที่ แม้จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่รับไม่ได้กับภาพ แต่นั่นเป็นภาพที่สะท้อนความเป็นจริง

•พนักงานรัฐวิสาหกิจ อายุ 47 ปี
ความจริงที่ข้าพเจ้าเห็นอยู่ในชีวิตจริงมารวมกันอยู่ในภาพนี้แล้ว








กำลังโหลดความคิดเห็น