จุฬาฯ วิจัยการนำขยะแบตเตอรี่มือถือกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ด้วยกระบวนการชะละลายด้วยกรด จะได้โลหะหนัก ได้แก่ นิกเกิล โคบอลต์ นำไปใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาต่อไป ส่วนปลอกเหล็ก ปลอกโลหะ สามารถนำไปขายต่อได้แนะชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็มเมื่อแบตหมด ช่วยยืดอายุให้นานขึ้น
ผศ.ดร.มะลิ หุ่นสม อาจารย์ประจำภาควิชาเคมีเทคนิค คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “การนำกลับร่วมกันของโลหะมีค่าจากขยะแบตเตอรี่มือถือด้วยกระบวนการชะละลายด้วยกรด” โดยนำแบตเตอรี่มือถือที่ใช้แล้วมาแยกโลหะหนัก และนำกลับมาใช้เกิดประโยชน์ได้อีก โลหะหนักดังกล่าว ได้แก่ นิกเกิล และโคบอลต์ แบตเตอรี่ที่ใช้ศึกษามี 2 ชนิด คือ ลิเทียมไอออน และนิกเกิลเมทัลไฮไดรส์
ผศ.ดร.มะลิ กล่าวถึงขั้นตอนการทำวิจัย เริ่มจากการนำแบตเตอรี่มาแยกส่วนประกอบต่าง ๆ ซึ่งส่วนประกอบที่เป็นขั้วไฟฟ้า จะมีโลหะหนักเป็นองค์ประกอบ จากนั้น จึงนำกรด 3 ชนิด ได้แก่ กรดซัลฟิวริก กรดไนตริก และกรดไฮโดรคลอริก ไปชะละลายโลหะหนัก ผลการวิจัยพบว่า กรดไฮโดรคลอริกจะให้ผลการชะละลายได้ดีที่สุด ออกมาได้ร้อยละ 92 และ 84 ตามลำดับ ทั้งนี้ โลหะหนักที่ได้จากการชะละลายจะต้องผ่านกระบวนการสกัดออกมาเป็นโลหะที่บริสุทธิ์ ซึ่งจะนำไปใช้ประโยชน์ในการทำเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาต่อไป
“กระบวนนี้มีความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดยชิ้นส่วนแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือที่เป็นปลอกเหล็ก และปลอกโลหะ ในเบื้องต้นสามารถนำไปขายต่อไป ในส่วนของขั้วไฟฟ้าก็สามารถนำมาผ่านกระบวนการดึงโลหะหนักออกมา ซึ่งในระยะยาวจะต้องศึกษาวิจัยต่อในแง่ของเศรษฐศาสตร์ ความปลอดภัย และความคุ้มทุนในระดับอุตสาหกรรม รวมทั้งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือสนับสนุนจากภาครัฐบาลและเอกชนในระยะยาว” ผศ.ดร.มะลิ กล่าว และให้คำแนะนำแก่ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือว่า ควรนำซากแบตเตอรี่มือถือส่งคืนให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ควรทิ้งรวมกับขยะประเภทอื่น เนื่องจากเป็นขยะอันตราย ในการชาร์ตแบตเตอรี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบตเตอรี่ชนิดนิกเกิลเมทัลไฮไดรส์ รวมทั้งแบตเตอรี่ประเภทลิเทียมไอออน จะมีรอบการชาร์ตแบตเตอรี่ประมาณ 300-500 ครั้ง จึงควรชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็มเมื่อแบตเตอรี่หมด จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้นานยิ่งขึ้น
ผศ.ดร.มะลิ หุ่นสม อาจารย์ประจำภาควิชาเคมีเทคนิค คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “การนำกลับร่วมกันของโลหะมีค่าจากขยะแบตเตอรี่มือถือด้วยกระบวนการชะละลายด้วยกรด” โดยนำแบตเตอรี่มือถือที่ใช้แล้วมาแยกโลหะหนัก และนำกลับมาใช้เกิดประโยชน์ได้อีก โลหะหนักดังกล่าว ได้แก่ นิกเกิล และโคบอลต์ แบตเตอรี่ที่ใช้ศึกษามี 2 ชนิด คือ ลิเทียมไอออน และนิกเกิลเมทัลไฮไดรส์
ผศ.ดร.มะลิ กล่าวถึงขั้นตอนการทำวิจัย เริ่มจากการนำแบตเตอรี่มาแยกส่วนประกอบต่าง ๆ ซึ่งส่วนประกอบที่เป็นขั้วไฟฟ้า จะมีโลหะหนักเป็นองค์ประกอบ จากนั้น จึงนำกรด 3 ชนิด ได้แก่ กรดซัลฟิวริก กรดไนตริก และกรดไฮโดรคลอริก ไปชะละลายโลหะหนัก ผลการวิจัยพบว่า กรดไฮโดรคลอริกจะให้ผลการชะละลายได้ดีที่สุด ออกมาได้ร้อยละ 92 และ 84 ตามลำดับ ทั้งนี้ โลหะหนักที่ได้จากการชะละลายจะต้องผ่านกระบวนการสกัดออกมาเป็นโลหะที่บริสุทธิ์ ซึ่งจะนำไปใช้ประโยชน์ในการทำเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาต่อไป
“กระบวนนี้มีความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดยชิ้นส่วนแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือที่เป็นปลอกเหล็ก และปลอกโลหะ ในเบื้องต้นสามารถนำไปขายต่อไป ในส่วนของขั้วไฟฟ้าก็สามารถนำมาผ่านกระบวนการดึงโลหะหนักออกมา ซึ่งในระยะยาวจะต้องศึกษาวิจัยต่อในแง่ของเศรษฐศาสตร์ ความปลอดภัย และความคุ้มทุนในระดับอุตสาหกรรม รวมทั้งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือสนับสนุนจากภาครัฐบาลและเอกชนในระยะยาว” ผศ.ดร.มะลิ กล่าว และให้คำแนะนำแก่ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือว่า ควรนำซากแบตเตอรี่มือถือส่งคืนให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ควรทิ้งรวมกับขยะประเภทอื่น เนื่องจากเป็นขยะอันตราย ในการชาร์ตแบตเตอรี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบตเตอรี่ชนิดนิกเกิลเมทัลไฮไดรส์ รวมทั้งแบตเตอรี่ประเภทลิเทียมไอออน จะมีรอบการชาร์ตแบตเตอรี่ประมาณ 300-500 ครั้ง จึงควรชาร์ตแบตเตอรี่ให้เต็มเมื่อแบตเตอรี่หมด จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้นานยิ่งขึ้น