โวยรัฐบาลไม่เอาเขื่อนแม่วงก์ ชี้ทำลายป่า –สัตว์สงวน-น้ำท่วมอุทยาน ยันหากกรมชลฯ ยังผลักดันเสียงเงียบจะลุกขึ้นต่อต้าน หวั่นสูญไม้สัก 13,000 ไร่ ส่งผลกระทบน้ำท่วม ลักลอบล่าสัตว์ป่าหากควบคุมไม่ได้พื้นที่ทุ่งใหญ่นเรศวรอาจถูกถอนจากการเป็นมรดกโลก ด้านประชาชนเผยนักการเมืองท้องถิ่นปลุกระดมเสียงสร้างเขื่อน เป็นนโยบายหลักก่อนเลือกตั้ง
นายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เปิดเผยถึงกรณีผลกระทบจากการที่กรมชลประทานผลักดันให้มีการก่อสร้างเขื่อนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ตั้งแต่ปี 2528 ถึงปัจจุบันว่า หากมีการก่อสร้างเขื่อนในพื้นที่อุทยาน ผลกระทบที่ตามมาคือ อาจก่อให้เกิดน้ำท่วมบริเวณเขตอุทยานแม่วงก์ประมาณ 17.6 ตร.กม. ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งป่าต้นน้ำมีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย และหากพื้นที่นี้ถูกน้ำท่วมจะต้องเสียพื้นที่ป่าเบญจพรรณที่มีไม้สักถึง 11.39 ตร.กม. ป่าเต็งรัง 3.5 ตร.กม. ไร่ร้าง 4.08 ตร.กม. และพื้นที่ที่ไม่ใช่ป่าอีก 1.53 ตร.กม.
ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการลักลอบจับสัตว์ป่าที่ไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้ทั่วถึง และเนื่องจากอุทยานแห่งชาติแม่วงก์มีพื้นที่ติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ห้วยขาแข้ง ซึ่งเป็นพื้นที่มรดกโลก หากแก้ปัญหาการล่าสัตว์ป่าในพื้นที่นี้ไม่ได้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และห้วยขาแข้งก็อาจจะถูกถอนจากการเป็นมรดกโลกได้
นายศศินยังกล่าวอีกว่า เดิมทีอุทยานแม่วงก์ถือเป็นเขตอนุรักษ์หากมีการจัดสรรให้เอกชนหรือผู้ที่หวังผลประโยชน์จากป่าใช้ช่องทางในการสร้างเขื่อนเพื่อสัมปทานไม้สัก 13,000 ไร่ นั้น ถือว่าการสร้างเขื่อนครั้งนี้ผู้ที่ได้ผลประโยชน์มากสุด คือนายทุนกลุ่มใหญ่ ไม่ใช่ชาวบ้าน ซึ่งอยากให้รัฐบาลจัดสรรพื้นที่อุทยานเป็นเขตอนุรักษ์พิเศษนั้น หมายถึงไม่ควรให้คนกลุ่มใดเข้ามาหาผลประโยชน์หรือทำการก่อสร้างอะไรภายในอุทยานอีก
ด้าน นายอดิศักดิ์ จันทวิชานุวงศ์ เลขาธิการคณะทำงานสิ่งแวดล้อมภาคเหนือตอนล่าง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการอนุมัติให้ก่อสร้างเขื่อนก็ตาม แต่ก็จะชะล้าใจไม่ได้ เพราะเสียงคัดค้านตอนนี้ยังเป็นส่วนน้อยอยู่ และเป็นเสียงเงียบซะส่วนใหญ่ ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนี้ต่างก็เข้าใจว่า การสร้างเขื่อนจะทำให้ชุมชนเจริญขึ้น มีแหล่งท่องเที่ยว และเกิดการค้าขาย แต่จริงๆ แล้วคนที่จะได้ผลประโยชน์มากที่สุดก็คือ นายทุนกลุ่มใหญ่ ส่วนชาวบ้านก็เป็นเพียงลูกจ้างและได้ผลประโยชน์อย่างไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ความเจริญจะเข้ามาก็ต่อเมื่อตอนที่สร้างเขื่อนเท่านั้น เมื่อเสร็จสิ้นก็ไม่เหลือความเจริญไว้เลย
อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าหากยังมีการยืนกรานที่จะก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์อีก ตนและชาวบ้านที่เป็นเสียงเงียบจะคัดค้านอย่างถึงที่สุด และต้องหาวิธีการที่จะดำเนินการกับเรื่องนี้ ส่วนสมาชิกของกลุ่มในขณะนี้มีทั้งประชาชนทั่วไป แพทย์ ข้าราชการ แต่ยังไม่มีการก่อตั้งเป็นองค์กรเอ็นจีโอ
“อยากชี้แจงให้ชาวบ้านทราบว่าความ ถึงแม้ จ.นครสวรรค์ จะไม่มีเขื่อน พวกเราก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องขาดแคลนน้ำและมีน้ำใช้ทั้งปี ส่วนภาครัฐนั้นเราอยากให้ช่วยในการจัดการน้ำเชิงบูรณาการมากกว่าที่จะมาทำเขื่อนขนาดใหญ่ เช่นการทำฝายชะลอน้ำ สร้างฝายขนาดเล็ก ให้กระจายกันทั่วแม่วงก์ และให้คนในชุมชนช่วยกันบริหารจัดการลุ่มน้ำ มากกว่าจะทุ่มงบไปส่วนเดียวแล้วผลที่ได้ไม่เกิดประโยชน์แก่คนหมู่มากเลย” อดิศักดิ์ กล่าว
ขณะที่นายณรงค์ แรงกสิกร ประธานเครือข่ายแม่วงก์ชุมชนคนรักษ์ป่า กล่าวว่า ไม่ต้องการให้สร้างเขื่อน เพราะทราบว่าจะเกิดผลกระทบหลายๆอย่างตามมา ซึ่งตอนนี้ก็ได้ชี้แจงกับชาวบ้านไปบ้างแล้วว่าถ้าสร้างเขื่อนจะมีผลอะไรบ้าง และขณะนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องอยากได้เขื่อนเท่าไรแล้ว แต่จะติดตรงที่ว่าเมื่อถึงช่วงใกล้เลือกตั้ง ประเด็นเรื่องการสร้างเขื่อนจะถูกหยิบยกมาเป็นนโยบายหลัก เพราะนักการเมืองท้องถิ่นในที่นี้รู้ว่าประชาชนอยากได้เขื่อนมากขนาดไหน และเรื่องนี้ยาวนานมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่จบสิ้น หากรัฐบาลไม่มีการอนุมัติลงไปเลยว่า สามารถที่จะให้สร้างได้หรือไม่ แต่โดยส่วนตัวแล้วไม่อยากให้สร้าง